top of page

Robert Johnson : ชายคนแรกที่ขายวิญญาณให้กับซาตาน

Robert Johnson ถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในศิลปินบูลส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล มีเรื่องเล่าเหนือธรรมชาติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเขา มันคือระดับอัจฉริยภาพที่อาจปรากฎขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ยากมากหากคุณจะฟังเพลงบูลส์หรือเพลงร็อกสักเพลง ที่ไม่มีสำเนียงของ Robert Johnson อยู่ในนั้น เหมือนกับมีคนเล่นอยู่ราว 2-3 คน แต่เปล่าเลย เขาแค่เล่นมันด้วยตัวคนเดียว และนั้นคือรากเง้าของดนตรีร็อกแอนด์โรลในเวลาต่อมา ตัวเพลงและเรื่องราวในบทเพลงที่เขาเล่า ไหนจะความสามารถในการเล่นกีต้าร์ของเขาอีก ถ้าจะหาคำนิยามของคำว่า ที่สุดของที่สุด ก็ต้องเขาคนนี้แหละ Robert Johnson




อาจด้วยยุคสมัยนั้น ทำให้ไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเขามากนัก เลยกลายเป็นเรื่องราวลึกลับซ่อนเงื่อน ซึ่งตำนานของเขานั้นก็ยังคงเป็นที่พูดถึงมาจนถึงทุกวันนี้ อาจด้วยมันมีเรื่องเล่าลี้ลับที่ยังหาคำตอบกันไม่ได้ คือตำนานที่ทำให้ผู้คนเชื่อว่าซาตานนั้นมีอยู่จริง

มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า จริงๆแล้ว Robert Johnson เป็นเพียงมือกีต้าร์สมัครเล่นฝีมือธรรมดา ก่อนที่เขาจะหายตัวไป และกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการเล่นที่ยอดเยี่ยมหาตัวจับยาก จนทุกคนต่างพากันพูดว่า “เขาต้องไปทำอะไรมาแน่เลย” จากตำนานที่เล่าต่อกันมา บอกว่าเขานั้นไปที่ Crossroads และขายวิญญาณให้ซาตาน หลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นมือกีต้าร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจากเรื่องเล่าก็จะจบกันแต่เพียงเท่านี้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเรื่องจริงนั้นเป็นอย่างไร เราแทบไม่รู้อะไรเลย เกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตของ Robert Johnson ถ้าว่ากันตามจริง มีแค่รูป 2 รูปเพียงเท่านั้นของเขา ไม่มีการบันทึกวีดีโอเลยแม้แต่นิดเดียว

Robert Johnson ใช้เวลาในการอัดเสียงน้อยมากๆ โดยจาก 29 เพลงของเขา เขาใช้เวลาในการอัดเพียง 5 วัน และเช่นกันเขาก็จากโลกนี้ไปเร็วมากๆ ในวัยเพียง 27 ปีเท่านั้น ที่ใบมรณบัตรของเขาที่ถูกค้นพบ ระบุว่าเขาเกิดที่เมือง Hezlehurst ในรัฐมิสซิสซิปปี แม่ของเขาชื่อ จูเลีย ดอดด์ส ซึ่งเธอแต่งงานกับ ชาร์ลส์ ดอดด์ส


ชาร์ลส์ ดอดด์ส เป็นช่างไม้และชาวนาที่ค่อนข้างมีฐานะ นั้นจึงทำให้คนผิวขาวในเมืองไม่พอใจนัก เขาเลยต้องอพยพไปอยู่ที่เมืองเมมฟิส เพื่อหนีจากกลุ่มคนที่คอยระราน จูเลีย ถูกทิ้งให้อยู่ลำพัง จนไปชอบคอกับคนงานที่อยู่ในแคมป์ตัดไม้ท้องถิ่น ซึ่งก็คือพ่อแท้ๆของ Robert Johnson นั่นเอง

คือเขามักจะต้องเร่ร่อนย้ายจากบ้านหลังหนึ่งไปอีกหลังหนึ่งเสมอ จากเมืองเมมฟิส ไป เมืองเดลตา จนถึง รัฐอาร์คันซอ และอาจจะมีช่วงนึงที่แม่ของเขาอาจจะทิ้งครอบครัวไปด้วย เขาก็เลยไม่ได้อยู่เป็นหลักแหล่ง และไม่เคยมีครอบครัวที่อบอุ่น เขาไม่เคยได้สัมผัสความรักจากพ่อ จนกระทั่งแม่ของเขาได้แต่งงานใหม่ Robert Johnson ย้ายไปอยู่กับพ่อเลี้ยงคนใหม่ของเขา ซึ่งเป็นชาวนาที่เช่านาเพื่อทำการเกษตร และที่นั่นเองที่เขาถูกพ่อเลี้ยงของเขาทำร้าย เนื่องจากเขาไม่อยากทำงานในไร่ เขาจึงถูกพ่อเลี้ยงทุบตี เขามองว่าการที่พ่อเลี้ยงของเขา เช่านามาเพื่อทำการเกษตร มันเหมือนสัญญาทาส ที่ต้องทำนาสร้างกำไรให้เจ้าของไร่ เขาพูดกับตัวเองว่า “ฉันจะต้องเป็นอิสระ ฉันจะไม่เป็นแบบนี้ ฉันจะต้องไม่ถูกขูดเลือดขูดเนื้แบบนี้” แต่ก็ด้วยสีผิวอีกนั้นแหละ มันจึงไม่มีทางเลือกมากนักสำหรับงานที่มีให้ทำ นั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาต้องการที่จะยึดดนตรีบลูส์เพื่อเป็นอาชีพ เขาเลยต้องการที่จะทะนุถนอมนิ้วมือของเขาเอาไว้ เขาจะมาที่ไร่ และเล่นเพลงให้ใครสักคนได้ฟัง เพื่อแลกกับเงิน 5-10 เซนต์




หลายคนบอกว่าดนตรีบลูส์นั้นมากจากนักดนตรีในโบสถ์ ผมว่าไม่ใช่ มันไม่ได้มาจากในโบสถ์ แต่มันมีต้นกำเนิดมาจากไร่นา ไม่มีใครเล่นดนตรีบลูส์ ได้เหมือนกับนักดนตรีที่มาจากรัฐมิสซิสซิปปี เพราะมันคือสิ่งที่อยู่ในตัวของพวกเขา และถ้าคุณอยากเป็นอิสระจริงๆ จากการทำงานในไร่ คุณก็ต้องเล่นในสิ่งที่ผู้คนอยากฟังให้ได้ สมัยนั้นจึงนิยมตั้งวงเล่นกันตามริมถนน เพื่อที่คนจะได้เห็นและบอกต่อ แล้วเจ้าของบาร์ก็จะมาทาบทาม

Robert Johnson เริ่มออกทัวร์ในวัยเพียง 20 ปีเท่านั้น ซึ่งมันอันตรายมากๆสำหรับคนผิวสีในยุคนั้น เพราะในรัฐมิสซิสซิปปี คนผิวสีอาจโดนฆ่า แขวนคอ และรุมทำร้ายได้เลย แต่เรื่องที่หนักหนามากกว่าของการออกทัวร์เล่นดนตรีในยุคนั้น คือผู้คนในเมืองส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาคริสต์ สำหรับพวกเขาแล้ว ดนตรีบลูส์คือดนตรีที่ชั่วร้าย มีเรื่องเล่ากันว่าตอนที่เขา อายุ 18 ปี เขาได้พบรักกับผู้หญิง อายุ 15 ปี ที่มีชื่อว่า เวอร์จิเนีย แทรวิส พวกเขาโกหกกันเรื่องอายุเพื่อที่จะตกลงแต่งงานกัน ซึ่งครอบครัวของ เวอร์จิเนีย เคร่งศาสนามากๆ เขาจึงให้คำสัญญากับ เวอร์จิเนีย ว่าเขาจะเลิกเล่นดนตรี เพื่อที่จะเป็นชาวไร่อย่างเต็มตัว และการเป็นสามีที่ดีให้กับเธอ จนกระทั่ง เวอร์จิเนีย ท้องได้ 8 เดือนครึ่ง เธอต้องย้ายไปอยู่กับยายของเธอเพื่อไปคลอดลูก Robert Johnson จึงใช้ช่วงเวลาตรงนี้ หันกลับมาเล่นกีต้าร์อีกครั้ง เขาเดินทางไปยังสถานที่ที่เขาเคยเล่นดนตรี ตามทางแม่น้ำมิสซิสซิปปี ขึ้นไปตามทางหลวงหมายเลขหนึ่ง เพื่อที่จะไปให้ทันพบกับภรรยาของเขาและลูกของเขา แต่เขาก็ไปไม่ทันเวลา เวอร์จิเนีย จากไปตอนที่ลูกคลอด เธอเสียชีวิตและถูกฝังไปพร้อมกับเด็กแล้ว ซึ่งมันทำให้ครอบครัวของเธอโกรธมาก และกล่าวโทษว่าทั้งหมดเป็นความผิดของ Robert Johnson กับดนตรีที่ชั่วร้ายนั่น

หลังจากนั้นเขาก็ได้อุทิศชีวิตของเขาไปกับการเล่นดนตรี และรู้สึกว่าการเล่นเลี้ยงชีพไปวันๆ มันไม่พอแล้วสำหรับเขา เพราะเขาต้องการที่จะเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียง Robert Johnsonต้องการที่จะยกระดับจากนักดนตรีข้างถนน เพื่อไปเล่นในบาร์ ที่ที่เขาจะหาเงินได้อย่างจริงจัง เขาชอบที่จะไปดู Son House และ Willie Brown เล่น และทุกครั้งที่พวกเขาหยุดการแสดง Robert Johnson ก็จะหยิบกีต้าร์ของพวกเขาขึ้นมาเล่น และผู้คนในร้านก็จะต่อ ว่าเพื่อให้เขาหยุดเล่น เนื่องจากเขาเล่นได้น่ารำคาญสุดๆ จากคำบอกเล่าของ ซัน เฮาส์ ซึ่งพวกเขาก็ไม่อยากให้ Robert Johnson หยิบกีต้าร์ขึ้นมาเล่นสักเท่าไหร่ เพราะเขาอาจจะทำสายกีต้าร์ขาดได้ เขาจึงต้องไล่ Robert Johnson ออกไปจากร้าน มันทำให้เขาหายตัวไปจากเมืองเดลต้า และไม่มีใครรู้ได้เลยว่าเขาไปไหน จริงๆคงไม่มีใครสนใจมากกว่า




จนเมื่อเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งปีเศษได้ ขณะที่ ซัน และ วิลลี่ กำลังเล่นอยู่ที่บาร์แห่งนึง ย่านแบงส์ รัฐมิสซิสซิปปี (ต้นยุค 1930) Robert Johnson ก็แบกกีต้าร์เข้ามาและพูดกับ ซัน และ วิลลี่ ว่า “ให้ผมลองเล่นให้ฟังสักหน่อยแล้วกันนะ” เขาใส่สายกีต้าร์เพิ่มหนึ่งสาย จากกีต้าร์หกสายที่เขามี กลายเป็นกีต้าร์เจ็ดสาย ซึ่งไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนเลย และพอเขาเริ่มบรรเลงเพลง ทุกคนทึ่งกันไปหมดเลย เขาเล่นได้อย่างสุดยอดมากๆ Son House เคยพูดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า “เราทุกคนได้แค่ยืนดู และอ้าปากค้าง เขาเล่นได้เร็วชะมัด” เขาเล่นกีต้าร์ในแบบที่ไม่เคยมีใครเล่นแบบนั้นมาก่อน เขาแสดงฝีมือออกมาแบบไม่มีกั๊ก และเขาเล่นมันได้เหนือกว่าทุกๆคน จากมือกีต้าร์ที่ไม่มีใครทนฟัง สู่การเป็นยอดฝีมือ ในเวลาหนึ่งปีเศษ และนั้นคือตำนานเรื่องเล่าที่ว่า Robert Johnson สามารถเล่นกีต้าร์ได้เก่งในเวลาที่รวดเร็วแบบนั้นได้อย่างไร

มีคนบอกว่าเขาไปที่ Crossroads นั่งลงและคุกเข่า มอบกีต้าร์ให้กับซาตาน และซาตานเอากีต้าร์ของเขาไปทำอะไรสักอย่าง ก่อนจะมอบคืนให้แก่เขา และหลังจากนั้นวิญญาณของเขา ก็กลายเป็นของซาตาน และมันคือการขายวิญญาณให้กับซาตาน นั้นคือการอิงจากเนื้อเพลงที่เขาเขียน ซึ่งเขาอาจจะขายวิญญาณนั้นให้กับซาตานจริงๆ มีเนื้อเพลงพูดถึง สุนัขปีศาจที่ตามล่าเขา และ เขากับปีศาจกำลังเดินทางไปด้วยกัน และหากเรื่องเล่านั้นเป็นจริง การทำข้อตกลงกับซาตาน คุณก็ต้องแลกกับอะไรบางอย่างด้วย




ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดนั้นมันสอดคล้องถึงความเชื่อโบราณ ของคนอเมริกันผิวสีที่เรียกกันว่า “ฮูดู” มันคือรูปแบบความเชื่อทางไสยศาสตร์ของคนอเมริกันผิวสี โดยมีเรื่องเล่าความเชื่อพูดถึงคนที่ไปที่ Crossroads เพื่อพบกับซาตานที่จะมอบวิชาความรู้ให้ และเป็นหนทางที่จะทำให้พวกเขามีอำนาจ ในโลกที่เต็มไปด้วยความรุนแรง และการกดขี่ในสมัยนั้น ฮูดู มอบโอกาสที่เป็นไปได้ให้กับผู้คนที่ต้องอยู่บนโลกแบบนั้น ซึ่งเนื้อเพลงของ Robert Johnson ก็มีการพูดถึงความเชื่อของฮูดูต่างๆ อย่างในเพลง Come on in my Kitchen ที่แปลความหมายได้ว่า “ฉันหยิบเหรียญห้าเซนต์อันสุดท้าย ออกมาจากถุงวิเศษของเธอ” ถุงวิเศษหรือถุงมนต์ดำ เป็นเครื่องรางนำโชคของผู้หญิงที่ใส่ไว้รอบๆเอว มันคือผงยาเสน่ห์ของผู้หญิง ดังนั้นการหยิบของออกจากถุงวิเศษของผู้หญิง ผู้หญิงคนนั้นก็จะไม่มีอำนาจที่จะทำเสน่ห์ ควบคุมเขาได้อีกแล้ว อย่างในเพลง Hellhound on my trail เขาก็จะพูดถึงการโปรยผงเครื่องเทศที่หน้าประตูบ้านของเขา ซึ่งการที่คนอเมริกันผิวสีพูดถึง “ผงเครื่องเทศ” นั้น ว่ากันว่าคือการที่จะช่วยพาให้หลบหนีจากสุนัขปีศาจได้ ซึ่งมันอาจจะสื่อถึงการที่กำลังหนีกลุ่มคนเถื่อนที่คอยระราน นั่นอาจเป็นการพูดถึงเรื่องราวใกล้ตัวที่เขาหนีจากการระรานของพวกคนเถื่อนมา ดังนั้นมันก็อาจจะเป็นการสื่อสารอารมณ์ความปวดร้าวในใจของเขา ที่รู้สึกต่อการรุมทำร้าย ที่เกิดขึ้นได้เสมอ และไม่มีวันที่จะปลอดภัย

แม้ว่าตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับ Crossroads จะทำให้ผู้คนสนใจอยากรู้เสมอมา แต่มันก็มีบางอย่างที่อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ว่า เป็นผลมาจากเรื่องราวในชีวิตของเขา ที่ว่าเขาออกเดินทางจากเมืองเดลต้า และกลับไปที่บ้านเกิดของเขา ที่เมืองเฮเซิลเฮริสต์ รัฐมิสซิสซิปปี เพื่อตามหา โนอาห์ จอห์นสัน พ่อแท้ๆของเขา ขณะที่เขาตามหาพ่อของเขา ก็ได้พบกับอาจารย์สอนกีต้าร์ของเขาที่ชื่อว่า ไอก์ ซิมเมอร์แมน และมีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า ไอก์ ซิมเมอร์แมน กับเขา ชอบไปกันที่สุสานตรงข้ามบ้านของไอก์ ทางตอนใต้ของเมือง เฮเซิลเฮริสต์ และพวกเขาฝึกกีต้าร์กันที่นั่น ซึ่งบางคนเชื่อว่า เป็นเพราะการที่ Robert Johnson ฝึกกีต้าร์กับ ไอก์ นี่แหละ ที่ทำให้เขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดด

ถึงแม้ว่าความสำเร็จของเขาจะยอดเยี่ยม แต่ผมเชื่อว่า ส่วนหนึ่งในใจของเขา ก็คงอยากที่จะใช้ชีวิตธรรมดากับครอบครัว เขาพบรัก กับ เวอร์จี้ เคน และเธอได้ตั้งท้องกับเขา ซึ่งตอนนั้น เวอร์จี้ ยังเป็นเด็กนักเรียนอยู่เลย เขาพยายามแล้วพยายามอีก เพื่อที่จะเกลี่ยกล่อมให้ เวอร์จี้ ไปกับเขา แต่ก็อีกครั้ง เวอร์จี้ มาจากครอบครัวที่เคร่งศาสนาเอามากๆ และเพราะเขาเล่นดนตรีแห่งความชั่วร้าย จึงถูกครอบครัวกีดกันจากเธอ เป็นเหมือนหนังเหมือนเดิมที่ต้องถูกพรากจากครอบครัวอีกครั้ง




Claude Johnson ลูกชายของเขาเล่าให้ฟังว่า เขาไม่เคยมีความสัมพันธ์อะไรเลยกับ Robert Johnson พ่อของเขาเลย เขาเห็นพ่อของเขาเพียง 2 ครั้ง เท่านั้น ไม่มีสักครั้งเลย ที่เขาจะมีโอกาสได้พูดคุยกับพ่อของเขา เพราะทั้งสองครั้งที่พ่อของเขามา ตากับยายก็จะไม่ยอมให้พ่อของเขามาเจอเลย เขาได้แต่มองดูพ่อของเขาผ่านทางหน้าต่าง พ่อของเขาเอาเงินให้ตาของเขา เพื่อที่พยายามจะทำหน้าที่ของพ่อ และนั่นเป็นครั้งสุดท้าย และเขาก็ไม่เคยเห็น Robert Johnson อีกเลย

ชีวิตของ Robert Johnson เหมือนหนังเศร้าบนหนังเศร้าอีกที เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงหลบหนีจากมันได้เลย ดังนั้นเขาจึงหันหน้าเข้าหาสุรา แล้วเริ่มดื่มมันอย่างหนัก มีผู้หญิงไหลเวียนผ่านกันเข้ามามากมาย ไม่สนใจ และไม่เคารพต่อศาสนา และไม่สนใจอะไรเลย นอกจากดนตรีของเขา เขาแค่ต้องการที่จะหลุดพ้นจากวังวนเดิมๆ เพื่อที่จะค้นหาอิสรภาพภายใต้จิตใจของเขา จนวันนึงเขาได้เข้าไปพัวพัน กับเมียของหนึ่งในพนักงานของร้านทรีฟอร์กส์ เขาปล่อยให้ความยโสของเขา ไปไกลเกินกว่าจะหยุดได้ ไม่เคารพไว้หน้าสามีของผู้หญิงคนนั้นเลยแม้สักนิด เขาสั่งวิสกี้มาขวดนึง โดยที่ตอนมาเสริฟนั้น ขวดวิสกี้เหมือนถูกเปิดออกไว้อยู่แล้ว มีบางคนพยายามปัดขวดออกจากมือของ Robert Johnson และพูดว่า “อย่าดื่มจากขวด ที่ถูกเปิดไว้อยู่แล้ว” แต่ Robert Johnson ไม่สนและพูดตอบกลับไปว่า “อย่าได้เอามือมาปัดขวดเหล้า ราคา 7 ดอลลาร์ออกจากมือของฉันอีก” ข้างในนั้นมียาพิษ และวันนั้นเขาก็ได้ดื่มมันเข้าไป บ้างก็พูดว่าผู้หญิงสักคนเป็นคนทำ บ้างก็พูดว่าสามีของผู้หญิงคนนั้นเป็นคนทำ บางส่วนก็พูดว่าพนักงานเป็นคนทำ แต่ทั้งหมดที่รู้กันคือ เขาถูกวางยา Robert Johnson ตกลงล้มลงจากเก้าอี้ และคนก็พยายามอุ้มเขาขึ้นมา เขาก็พยายามเล่นดนตรีต่อไป จนเขาเล่นต่อไม่ไหว คืนนั้นเขาลุกไม่ขึ้น และร้องคร่ำครวญอย่างกับหมาป่าที่ทุกข์ทรมาน เขาเจ็บปวดและทรมานมาก เขาป่วยหนักมากๆ ซึ่งใช้เวลาอยู่นาน 2-3 วันเลย กว่าที่เขาจะจากไป




ปี 1938 ได้มีคอนเสิร์ตนึงที่ชื่อว่า “Spirituals to Swing” จัดขึ้นที่ หอประชุมคาร์เนกี รัฐนิวยอร์ก อยากได้ตัวของ Robert Johnson ไปแสดงในงาน โดย จอห์น แฮมมอนด์ เกิดไอเดีย ที่อยากให้ผู้คนเข้าใจว่าดนตรีแจ๊สมีที่มาจากไหน ดนตรีสวิงมีพื้นเพยังไง และรู้จักรากเหง้าของดนตรีบลูส์แท้ๆ เขาเลยส่งคนไปตามหา Robert Johnson ที่รัฐมิสซิสซิปปี และให้เชิญเขามาร่วมแสดงในงานคอนเสิร์ตครั้งนี้ ก่อนจะพบว่าเขาได้ตายไปแล้วตั้งแต่ 6 เดือนที่แล้ว โดยวันงานนั้น จอห์น แฮมมอนด์ ได้นำแผ่นเสียงของ Robert Johnson มาเปิดให้ผู้ที่เข้าชมในงานได้รับฟัง ประหนึ่งเป็นโชว์ของ Robert Johnson จริงๆ ผู้คนฮือฮา เมื่อพวกเขาได้รับฟังเพลงของ Robert Johnsonและต่างชื่นชมความยอดเยี่ยมของเขา




ผ่านไป 3-4 ปีให้หลัง มือกีต้าร์บลูส์ที่ยิ่งใหญ่อย่าง Muddy Waters ก็ไปสร้างพื้นฐานดนตรีบลูส์สมัยใหม่ที่ชิคคาโกในเวลาต่อมา Robert Johnson มีอิทธิพลต่อการเล่นของศิลปินมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Muddy Waters , B.B. King ซึ่งคุณจะได้ยินเสียงการเล่นในแบบของเขาทั้งหมดผ่านการเล่นของศิลปินยุคหลัง แม้โลกจะไม่ได้เสพผลงานของ Robert Johnson โดยตรง แต่พวกเขาจะฟัง Robert Johnson ผ่านผลงานของศิลปินคนอื่นๆ ที่ได้รับอิทธิพลมาจากการเล่นของเขา ขนาดที่ Bob Dylan เคยพูดไว้ว่า “ถ้าวันนั้นผมไม่ได้ฟังผลงานของ Robert Johnsonผมก็คงไม่รู้ว่าจะเขียนเพลงเป็นร้อยๆประโยค ในเพลงของผมได้ยังไง”

Robert Johnson ปลุกความอัจฉริยะขึ้นมาจากตัวทุกคน และดนตรีของเขาเข้าถึงทุกคน แต่ความอัจฉริยะนั้น มันก็มาพร้อมกับปีศาจที่ชัวร้าย และการขายวิญญาณให้กับซาตาน ซึ่งเป็นที่มาของ “27 club”

27 club คือกลุ่มนักดนตรี ที่มักจะตายตอนอายุ 27 ปี ไม่ว่าจะเป็น Janis Joplin , Jim Morrison , Amy Winehouse , Brian Jones , Jimi Hendrix และ Kurt Cobain ล้วนแล้วแต่เป็นนักดนตรีที่ตายตอนอายุเท่ากับตอนที่ Robert Johnson เสียชีวิต บางคนบอกว่าพวกเขาทั้งหมดเล่านั้น ได้ทำสนธิสัญญาลึกลับเพื่อที่จะได้เป็นอัจฉริยภาพ และต้องจากไปก่อนวัยอันควร




และไม่ว่าเรื่องราวความจริงเป็นยังไง สนธิสัญญาของซาตานมันมีอยู่จริงๆไหม หลายสิ่งอย่างไม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจ แต่ถ้าคุณหลงไหลในดนตรีบลูส์ คุณต้องกลับไปฟังรากเหง้าของมัน และ Robert Johnson จะเป็นศิลปินคนนั้น ที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลที่โลกนี้เคยมีมา

bottom of page