top of page

H 3 F : การทำดนตรีคือจุดสูงสุด ของ "ความสุข" ส่วนที่เหลือคือผลพลอยได้ คือกำไรของชีวิต

จุดสูงสุดของชีวิตแต่ละคนไม่เคยเท่ากัน เราเรียนรู้เติบโตมาในแบบที่แตกต่างกัน บางคนใฝ่ฝันจะมีเงินทองให้มากๆเข้าไว้ เพื่อชีวิตที่สะดวกสบายในอนาคต แต่ความสุขสูงสุดของบางคน ก็แค่ทำในสิ่งที่ชอบ สิ่งที่ตัวเองรัก ให้มันมีค่าขึ้นมา เป็นความทรงคุณค่าที่ตีค่าตีราคาไม่ได้


วันนี้ผมจะพาผู้อ่านทุกท่าน ไปรู้จักกับวงดนตรีสัญชาติไทยวงนึงครับ ที่ทำเพลงออกมาในรูปแบบสากล ที่ต้องบอกเลยว่า ผมหลงรักเพลงของพวกเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟัง และไม่ว่าผมจะเอาบทเพลงของเขาไปแนะนำให้ใครฟัง ต่างก็มีแต่คำชื่นชม ทั้งในด้านของสำเนียง ภาษาที่ใช้ รวมถึงรูปแบบวิธีการนำเสนอรูปแบบของดนตรี วงดนตรีที่เกิดขึ้น เพียงเพราะว่าอยากทำเพลงในแบบที่ตัวเองชอบ และความแตกต่างทางรสนิยมเพลงของสมาชิกนี่เอง คือสูตรกล่มกล่อมที่ลงตัวของพวกเขา "H 3 F"





ชื่อวง H 3 F มาจากอะไรครับ ทำไมถึงใช้ชื่อนี้


H 3 F : ความจริง H 3 F มัน มันเป็นชื่อย่อครับ คือตอนแรกที่ทำวงเนี่ย มันเป็นช่วงที่ผมกำลังเรียนอยู่ที่ ม.รังสิต ประมาณ ปี2 ปี3 แล้วก็เจอ แม็ก แล้วก็เจอ หม่อม แล้วเราก็ทำวงเล่นร้านกัน และตอนนั้นเราเล่นแค่ 3 ชิ้น ตอนนั้น ปิง ยังไม่เข้าวงนะครับ เราก็เหมือนกับทำวงเล่นที่ร้านกัน เล่นกลางคืนเล่นแต่เพลง Cover อะครับ และเราใช้ชื่อว่า Happy Three Friends เพราะว่ามันมีกันแค่ 3 คน แล้วเราก็แบบตั้งชื่อมาโง่ ๆ อันหนึ่ง แบบแค่ใช้ในร้านไม่ได้คาดหวังอะไรกับมัน ไม่ได้คิดไรเลย แล้วก็พอทำไปสักพักหนึ่งพอเริ่มจริงจังเริ่มขยับขยายสมาชิกขึ้น อย่าง E.P. แรกเราทำกันแค่ 3 คน เรายังใช้ชื่อว่า Happy Three Friends อยู่ ยังไม่ได้แบบว่าคอขาดว่าจะใช้ H 3 F แล้ว แต่พอมาปีเนี่ย ปี 2019 ออกอัลบั้มแรกไปเสร็จ ปิงอยู่ในวงแล้ว เราเลยใช้ชื่อว่า H 3 F คือเราแบบไม่รู้ ไม่รู้จะย่อชื่อเป็นอะไรดีครับ ก็เลยแบบว่า ไม่รู้จะเปลี่ยนชื่อไปใช้อะไรดี เพราะคนมันก็จำไปแล้ว เพราะคนก็เริ่มรู้จักแล้ว พวกเราก็เลยแบบใช้ H 3 F ก็ได้ มันก็ไม่ได้แย่อะไร ก็เลยเป็นที่มาของ H 3 F ครับ

แสดงว่าเป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว รู้จักกันอยู่แล้ว เลยมาทำวงด้วยกัน ?

H 3 F : ตอนนั้นที่ทำวงเล่นร้าน มันคาบเกี่ยวกับช่วงที่ ปิง ผมกับ แม็ก ยังทำวงอีกวงอยู่ คือตอนแรกที่เริ่ม Happy Three Friends มันเป็นโปรเจคเล่นร้านจริง ๆ ตอนนั้นเรา 3 คน ปิงผมกับแม็กเนี่ยเราอยู่วง Penny Time กันมาก่อน แล้วก็จะเป็นแบบว่า อันนั้นเราก็จะโฟกัสทำเพลงตัวเองเลย แล้ว Happy Three Friends ก็มันจะเป็นการเล่นร้าน ซึ่งตอนนั้นทำ ทำ Penny Time มันจะเป็นแนวอัลเทอร์เนทีฟร็อก มันจะเป็นร็อคซะมากกว่า และด้วยความที่ว่าทำวงที่เล่นร้าน ผมชอบฟังเพลงที่แบบ R&B บูลส์ โซล ฟังก์ ป็อป อะไรอย่างงี้ครับ ก็เลยแบบแต่งเพลงมาขำๆ แล้วก็เหมือนแบบหา outlet ลงอะครับ เราก็เลยมาใช้ Happy Three Friends ลงเพราะว่ามันคนละแนวกับอีกโปรเจคหนึ่งของเราแล้วพอแบบ วงนั้นไม่ได้ทำต่อแล้ว เรามาเอาจริงเอาจังกับวงนี้มันก็คือช่วงที่ผมบอกว่าเราทำ E.P.แรกไปแล้วนะ แล้วก็ E.P. 2 ก็มาใช้ H 3 F เลยเพราะว่าแบบมันไม่ได้มีแค่ 3 คนแล้ว มีปิงเข้ามาแล้ว มีเครื่องเป่าแล้ว มันก็โตขึ้นด้วยอะครับ เป็นอัลบั้มเลย แต่เราเริ่มทำเพลงตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ว่ายังไม่ได้แบบ take it serious อะไรครับ ปล่อยกันแบบขำๆ ปล่อยเหมือนปล่อยแค่ลง Youtube เหมือนผมแต่งเพลงได้ก็แบบ เฮ้ย มึงทำเพลงกันปะ ? แล้วก็แบบทำเพลง แล้วก็ปล่อย สตรีมมิ่งก็ไม่ลง ไม่ลงอะไรเลย แค่ลง Youtube และก็แชร์ให้เพื่อนฟัง ก็ฟินแล้ว สนุกดีอะไรงี้ คือมันยังเป็น Demo อยู่เลยครับตอนนั้น





หลังจากที่เริ่มทำอย่างจริงจัง จุดเปลี่ยนมันเกิดขึ้นตอนไหน ที่ทำให้เริ่มเป็นที่รู้จัก และมีคนฟังเพลงของพวกเรามากขึ้น

H 3 F : ความจริงที่ผมบอกมาตลอดเลยว่าอันนี้มันเหมือน side project ไว้เล่นร้าน ทำเพลงขำๆ เอาลึกๆในใจ ไม่เคยมั่นใจว่าแบบจะมาแต่งเพลงมาร้องเพลง อะไรอย่างนี้เลย ก็คือเราก็เป็นแค่มือกีต้าร์ที่ทำวงอยู่อีกวงนึง แล้วเราก็แค่แบบตาม intention ที่เล่าไปครับ คือเราอยากทำวงเล่นร้าน อยากแค่สนอง need ตรงนั้นของเรา แล้วพอเราไม่ได้ทำตรงนั้นต่อแล้ว มันเหมือนยังอยากทำเพลงกันอยู่ ผมก็เลยแบบว่าถามแม็กถามหม่อมว่าแบบ เฮ้ย ทำเพลงกันมั้ย ? ถามปิงทำเพลงกันมั้ย แบบอยากทำเพลงวะ แล้วพอที่สังเกตุว่าที่คนเริ่มฟัง มันน่าจะช่วง E.P. แรกเราอะครับ คือเราก็ปล่อยเป็น E.P. ประมาณปลายปี 2018 อะครับ E.P. แรก มีแค่ 4 เพลง แล้วหลังจากนั้นคนมันก็เริ่มฟังละ ตัวผมก็รู้สึกว่าแบบ มันน่าจะได้นะ คือแบบเอาจริงๆ เราทำวงมา เราคาดหวังอยู่แล้วละ ว่าเราอยากดังนะ เราแล้วก็อยากทัวร์ อะไรแบบเนี่ย แต่เหมือนปี 2019 นี่ละครับ ที่ปิงเข้ามาอยู่แล้ว เราทำเพลง Just Sayin’ กัน ทำ How can I กัน แล้วก็ขึ้นอัลบั้มแรกกันมา แล้วก็เริ่มเห็นคนที่ติดตามมาด้วยตั้งแต่แรก ตั้งแต่ยังเป็น Demo อยู่เลย อะไรอย่างนี้ มันก็ขยับขยายไป ซึ่งถามว่าเราคาดหวังไหม เราก็คาดหวัง มันเริ่มมาจากอัลบั้มแรกอะครับ มันก็เหมือนเราได้เรียนรู้ด้วยในการทำเพลง ทุกคนก็เรียนรู้ด้วยว่าเราจะทำวงกันยังไง ทำไปเพื่ออะไร แล้วเวลา feedback มันเริ่มดีขึ้น มีคนติดตามมีคนฟังไร เราก็ยิ่งแบบสะใจเข้าไปใหญ่อะครับ แบบมันส์อะ เหมือนได้ทำอะไรที่อยากทำอยู่แล้ว แล้วก็ได้ทำ แล้วมีคนชอบ มันรู้สึกโชคดีตรงนั้น มันแบบเออเราสนุกมากขึ้นอะไรงี้ครับ เราเลยแบบจริงจังมากขึ้น ตั้งแต่ตอนนั้นเลย


มองเพลง หรือรูปแบบของวงไหมว่า เป็นวงแบบไหน เพลงแบบไหน


H 3 F : จริงๆตั้งแต่ E.P. แรก มันค่อนข้างร็อค จากแบบที่เราเคยเล่นกันมาด้วย มันมีเพลงร็อคเพลงหนึ่งที่โดดออกมามากเลย คือ Ain’t Coming Home แล้วตอนนั้นเราก็นิยามตัวเองว่าเป็นแบบ ร็อค ฟังก์ อะไรก็ไม่รู้ ก็เหมือน R&B โซล ฟังก์ ร็อคแอนด์โรล บูลส์ ไซเคเดลิ อยากจะเรียกอะไรก็เรียก ไม่รู้เหมือนกันเพราะมันหลายแนวมาก ด้วยว่าผมเป็นคนชอบฟังเพลงบูลส์มากเลย แนวแบบบูลส์ โซล ฟังก์ อย่างนี้ผมชอบมากเลย ปิงก็แบบ Michael Jackson อะครับ Black Pink แม็กก็เป็นแบบ ร็อคอังกฤษหน่อยๆ ไซเคเดลิเยอะๆ หม่อมก็ฟิวแบบ Radiohead นั้นแหละ ประมาณนั้นครับ มันอาจจะไม่ตรงโจทย์ตรงแนวมากสำหรับคนที่แบบ ชอบแนวนี้ แต่เราแบบ เราก็ไม่ได้แบบว่า take it serious ขนาดนั้นว่ามันจะต้องถูกต้องตามตำรับอะไรแบบนั้น เพราะว่าอย่างแรกที่บอกเลยครับ ที่เราแบบเริ่มทำอะครับ เพราะเราอยากสนอง need ของตัวเองตรงนี้ ว่าเราเล่นร้านนะ พอมันเริ่มแต่งเพลงเริ่มได้ปล่อย เริ่มมี pettern เริ่มรู้สึกว่าผมสามารถเริ่มเอาจริงเอาจังกับมันได้ ก็ยิ่งมันส์เลย เรามีความสุขกับสิ่งนี้มาก แล้วก็รู้สึกโชคดีมากด้วย ที่ทำดนตรีออกมาแล้วมีคนติดตาม มีคนให้ค่ามัน





ทำไมเนื้อร้องต้องเป็นภาษาอังกฤษ


H 3 F : ต้องเล่าย้อนไปตั้งแต่ตอนทำวงเล่นร้านกันอะครับ แต่ก่อนคือ พวกเราไปทำวงเล่นร้านกัน ก็ใช้ชื่อ Happy Three Friends นี่ละ เราก็เล่นเพลง Cover เล่นเพลงบูลส์ มีเล่นเพลงไทยบ้าง มันมีร้านนึงที่ผมเคยไปเล่น วันไป Audition อะครับ ผมก็เล่นแต่เพลงอังกฤษ เจ้าของเค้าก็ฟิลแบบว่า "เอ้ย น้องพี่ชอบเลย เล่นแนวที่น้องเล่นเลย พี่ว่าแบบเท่ห์ดี" เราก็แบบ ดีใจ ได้เล่นแล้ว ร้านแรก Audition ติดแล้วอะไรอย่างงี้ ไปวันแรกเจอลูกค้าขอเพลงไทย เราก็แบบ คือพวกเราไม่ได้ซ้อมกันอะ แล้วผมก็ฝืนร้องไป ณ ตอนนั้นผมก็แบบ ไม่ได้ร้องเพลงดี ทุกวันนี้ก็ไม่ได้เก่งนะ แต่แบบตอนนั้นน่าจะแย่กว่านี้เยอะ แล้วฟิลแบบว่าผมร้องเพลงไทยไปมันคงเละอะ วันนั้นก็คงเละน่าดู และคืนนั้นเล่นเสร็จเขาก็ไล่เราออกเลย วันนั้นเลย วันแรกเลย ผมเลยแบบ "แม่งกูไม่ร้องแล้วเพลงไทยอะ" ถ้าไหนๆจะทำเพราะอยากทำเอามันส์ละ ก็ขออย่างน้อยมันส์กับมันหน่อยละกัน ก็เลยยาวมาเลย แล้วตอนนั้นด้วยความว่าผมอะไม่ใช่นักร้องด้วย แล้วผมรู้สึกว่าภาษาไทย สระมันเยอะมากครับ ถ้าอย่างอังกฤษมันมีแค่ A , E , I , O , U อย่างงี้ครับ ไทยมัน อิ ,อี , อุ , อู ยังไม่รวม เอก , โท , ตรี , จัตวา อะไรทั้งหลายนะ คือแบบว่า มันทำให้ร้องเพลงยากสำหรับผม แล้วก็อย่างตอนผมแต่ง ผมก็ชอบฟังเพลงอังกฤษอยู่แล้ว เราชอบฟังเพลงอย่างงั้นอยู่แล้ว ด้วย มันเป็นเรื่องของภาษาและเมโลดี้ด้วยครับ ว่าถ้าผมชอบเมโลดี้แบบนี้ ภาษาอังกฤษมันก็เหมาะกว่า บวกกับว่ามันเหมือนฝังใจมาแล้วว่าเคยไปแบบร้องเพลงไทยแล้วโดนไล่ออก เราเลยแบบ ไม่ค่อยมั่นใจกับการร้องเพลงไทยเท่าไหร่ เราเลยรู้สึกว่า เราทำภาษาอังกฤษเราสนุกกว่า แล้วเราก็อยากให้มันถึงคนเยอะกว่าด้วย ถ้าแบบโกลจริงๆเราแล้ว เราอยากให้มัน delignt ทุกคนได้บนโลก ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าเกิดได้ฟังเพลงของเรา อย่างน้อยก็น่าจะรู้สึกว่ามันเป็นภาษากลางครับ


เคยได้กลับไปที่ร้านเดิมไหม ตั้งแต่โดนไล่ออก


H 3 F : ไม่เคยเลยครับ ไม่เคยกลับไปเลยครับ วันนั้นดาร์กมาก เศร้าสุดๆ ครับ





เนื้อเพลงส่วนใหญ่ คือแต่งกันเองหมดเลย ช่วยกันแต่ง หรือหลักๆใครแต่ง ?


H 3 F : ถ้าเป็นเนื้อทุกอย่างจะเริ่มมาจากก้องครับ พี่ก้องเขาจะเริ่มมา มีเนื้อเพลงแล้วก็เมโลดี้จากกีต้าร์อะไรอย่างงี้ครับ พี่ก้องเป็นคนเริ่มมาก่อนเลย บางทีก็เสร็จมา เอามาขายวง เอามาซ้อม แล้วก็แบบผ่านไหมวะ ? เล่นกันแล้วมันโอเคไหมวะ ? เล่นแล้วมันฟังได้ไหม ? อะไรอย่างงี้ ก็คือผมก็แต่ง แต่งไรได้ก็เอามาลองเลย ซะส่วนใหญ่จะเป็นฟิลนั้น


ก็คือทำกันเองหมดเลย


H 3 F : ทำกันเองหมดเลยครับ อย่างอัลบั้มแรกเราก็อัดที่นี่( Sayin Studio) ก็เป็นห้องอัดเพลงเราตั้งแต่สมัยเรียน พี่ที่ทำ sound ก็เป็นพี่ที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันมา เรียน sound มา เหมือนกับเราก็มา DIY กันทั้งหมด ซึ่งแบบว่า เราก็ทำดนตรีแต่งเพลง ส่วนเรื่อง sound ก็เป็นพี่คนที่ทำ sound จัดการให้ คือเราก็อยู่เป็นระบบ เราใช้ชื่ออัลบั้มแรกว่า Family Product มันมีเหตุผลนะ เพราะว่าเราทำจากคนที่แบบว่า เหมือนเป็นคนในครอบครัวเราอยู่แล้วอะครับ พี่น้องเรา เพื่อนเรา โปรเจคมันเริ่มมาแบบนั้น มันเสร็จได้ก็เพราะวิธีการทำงานแบบนั้น เราเลยเรียกว่า Family Product ด้วย Producer อะไรก็ช่วยๆกันทำหมด ทำกันเองหมดเลยครับ





แสดงว่าเราค่อนข้างที่จะมี Passion ดนตรีที่ใกล้กันเหมือนกันนะ ถึงจะบอกว่าคนละทางกันเลย แต่ถ้ามองลักษณะเพลง มันก็ออกมาได้อย่างสมดุล


H 3 F : น่าจะใช่นะครับ เพราะก็เล่นกัน ผมก็รู้สึกแบบก็ไม่ได้ติดอะไร แต่ถ้าถามส่วนตัวก็อาจจะแบบมันเหมือนเป็นฟิลแบบเสีย self ตัวเองมากกว่า แบบเพลงมึงแมร่งอย่างงั้น กูว่าแบบอย่างงี้มันจะดีกว่าป่าววะ ? บางอารมณ์มันจะมีถามตัวเองบ้าง แต่สุดท้ายมาฟังมันก็แฮปปี้กับผลลัพธ์ เพราะว่าแบบ เราทำกับเพื่อนเรา มันทำออกมาแบบนี้ แล้วระหว่างทำมันก็มีความสุขด้วย พอทำกันเสร็จ เราก็ฟินด้วย แล้วยิ่งเห็นว่ามีแบบคนที่ติดตามมาฟังเนี่ย เรายิ่งมีความสุขเลย มันยิ่งทำให้เราแบบรู้สึก ไม่ใช่ว่าเราได้ทำดนตรีมีคนฟัง เราเลยมีความสุขนะ เราแฮปปี้กับมันอยู่แล้ว แต่แบบการที่มีคน appreciate ด้วยมันคือผลพลอยได้กำไรชีวิตของผม ที่แบบว่า เออ มันเป็นสิ่งที่แบบไม่รู้จะตีค่าเป็นอะไร


ข้อดีคือความแตกต่าง ทางรสนิยมเพลงของสมาชิก


อย่าง influence ที่วงรับมา ผมเลยมองว่าเรื่องแบบว่าคอยมีคน double check เพลงเราด้วย เพราะว่าอย่างตอนเราทำเพลง เราพยายามแบบสมมุติกับตัวเองว่า ถึงแม้เราจะสมมุติไม่ค่อยได้ก็เถอะ แบบว่า สมมุติว่ามัน มันเป็นเพลงคนอื่นอะ ถ้าเราฟังเราจะชอบแค่ไหน เราจะอยากฟังอีกไหม เหมือนเรตเพลงตัวเองอะครับ ฟังแล้วแบบ เห้ย เพลงนี้ฟังง่าย เห้ย เพลงนี้อะกูเอามันส์ เห้ย เพลงนี้กูอยากอย่างงี้ เพลงนี้กูอยากอย่างงั้น มันก็เหมือนคอยเรตเพลงตัวเองอะครับ ว่าถ้าสมมุติว่ามันไม่ใช่เพลงเราเลยเราไม่เคยได้ยินเลย เราจะแบบอินกับมันไหม เราค่อนข้างแบบรู้สึกดีที่แบบว่าหลายๆคนในวงก็ไม่ได้ฟังเพลงเหมือนกัน มันก็ยังมีคนที่คอยแบบดับเบิ้ลเช็คกันได้อะไรอย่างงี้ครับ





ผลงานของ H 3 F ตอนนี้


H 3 F : E.P. แรก มี 4 เพลงครับชื่อ Cheesy Lyrics,Sloppy groove E.P. นั้นจะมีแค่ 3 คนอยู่ แล้วก็อัลบั้ม Family Product เนี่ยปล่อยมา ปี 2019 ก็มีปิงแล้ว แล้วเราก็แบบเพิ่มแบบพวกเลเยอร์เครื่องดนตรีอื่นไป แบบเครื่องเป่าอะไรอย่างงี้ครับ คือทุกวันนี้อะครับ ถ้าไปโชว์ไหนก็คือแบบ เราก็มีเครื่องเป่าไปด้วยจะไม่ใช่แบบ 3 คน เหมือนที่เราเริ่มเล่นร้านกันมาแล้ว


เป้าของ H 3 F ก็คือ น่าจะมองไกลกว่าประเทศไทยแล้วใช่ไหม ?


H 3 F : มันเหมือนฝันลมๆ แล้งๆ ด้วยละ ตอนแต่งเพลงแรกๆผมก็ยังไม่ได้คิดอะไรเลย มันก็แค่แบบ เฮ้ย แต่งเพลงได้วะ มันสนุกดี แล้วก็อยากทำเพลงอังกฤษ เพราะรู้สึกว่าชอบ ไอดอลที่เราชอบเขาก็ทำเพลงอังกฤษ เราอยากทำเพลงอังกฤษแบบเขา มันเป็นฝันอยู่ในใจอยู่แล้ว ผมไม่รู้คนอื่นยังไงนะ ส่วนตัวผมอะเป็น สิ่งที่วางตอนแรกคือเพลงเราเสร็จนะ เราได้ทำเพลงเอามันส์ละ แต่คือแบบ ถ้าลึกๆสุดท้ายถ้าตัวเราเองได้ไปเล่นต่างประเทศ ได้ทำงานด้วยอาชีพนี้ ด้วยสิ่งที่เรารักได้ มันคงเป็นอะไรที่แบบฟินมาก มันเหมือนคิดมาแต่แรกแล้ว แต่ไม่อยากยอมรับตัวเองว่าคิดอะ แต่ลึกๆมันก็คิด เรียกว่าไม่กล้าหวังดีกว่า เพราะว่ามันไกลตัว


จากการเล่นเปิด Jeff Bernat สู่ Family Product Album Launch Concert


H 3 F : มันเป็นอะไรที่เราแบบ ตื่นเต้นมาก แล้วเราก็แปลกใจมาก แบบเขาเปิดใจกับเรามากจริงๆ แบบเราได้ไปเล่นเปิด Jeff Bernat แล้วผลตอบลัพธ์มันดีมาก เราไม่คิดว่าเราเป็นวงเปิดคนจะมีคนมาฟัง ตั้งใจฟังเราเยอะขนาดนั้น จริงๆมันเป็นคอนของ Jeff Bernat คือเอางี้ เขาอาจจะทนไม่ไหวแล้วแบบมารอดู Jeff ก็ได้ไง ถ้าแบบมองโลกในแง่ดีนะ แต่แบบมันดีมากๆ ส่วนคอนเสิร์ตอัลบั้ม มันเป็นช่วงที่แบบฟินจัดเลย มันเป็นช่วงที่ก่อนโควิดระบาด แล้วก็คือตอนนั้นเราจัดกันอะ เราขายบัตร บัตรมัน sold out เลยครับ 700 ใบ แล้วเราก็แบบตื่นเต้นดีใจ คราวนี้พอโควิดมา เราก็เริ่มเห็นคนเทบัตรละ คนมันเริ่มแบบกลัวโรคอะไรงี้ แล้วเราก็แบบอีกแค่มะรืนก็ถึงงานเราแล้ว เราไม่สามารถจะทิ้งได้เลยอะ เพราะแบบถ้าผมคิดนะ มันแค่คอนเสิร์ตอัลบั้มอะ ถ้าผมไม่จัดตอนนั้น ผมไม่ได้จัดเลย มันก็เหมือนกับวัดใจว่าคนที่มาเขาจะกล้ามา กล้าแบบมา support เราไหม แล้วเราเห็นจำนวนคนที่มา เราแบบว่าโอเค มันอาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่มาก เหมือนกับวงอื่นๆ แต่นี่คือแบบว่าเรารู้สึกว่าอันนี้มันปริ่มสุดแล้วของเราอะ เรารู้สึกว่าอันนี้คือความสุข แบบโคตรความสุขเลย แบบแต่งเพลงที่อยากทำ เล่นดนตรีที่ชอบกับเพื่อน แล้วเราไปเล่นแล้วแบบมีคนดูเป็นเพื่อนเราด้วย เหมือนเขาโตมากับเราตั้งแต่แรก ผมเห็นบาง feedback ก็คือแบบ "ผมตามมาตั้งแต่คุณเล่นร้านเลย ผมจำได้ ผมมาวันนี้ ผมดีใจด้วยนะ" คือเราแบบแม่งซึ้งอะ มันเหมือนการเติมไฟให้เรา เรารู้สึกว่า เราสามารถทำไอสิ่งที่เรารักให้มันเป็นอาชีพได้นะ อยากให้มันเป็นยิ่งกว่าความฝันลึกๆในใจเรา ที่ผมเคยบอกว่าเคยหวังไว้ละ แต่ไม่กล้าพูดเพราะมันดูหวังไกลตัว แต่ตอนนี้มันก็แบบมันทำให้เราฟินมาก ไม่ว่าจะงานคอนเสิร์ตอัลบั้มที่ผมบอก งาน Jeff Bernat ที่ปิงบอกที่แบบว่าอันนั้นอะตื่นที่สุดละ คือก่อนเล่นผมตื่นเต้นแบบจะอ้วกอะ แล้วพอเล่นเสร็จก็มีความสุข งานมายะ ทุกงานอะ ผมว่าทุกงานเลยดีกว่าที่เราได้ไปเล่นเพลงตัวเองเนี่ย ผมว่ามันคือแบบมันดีมากแล้ว ที่เรามีพื้นที่ได้แสดงออกแบบนี้ครับ





ต่อไปคงเป็นต่างประเทศจริงๆแล้วสิ


H 3 F : ตอนนี้อยากแบบอยากไป world tour ให้ได้ อยากเริ่มจากเอเชียก่อนก็ได้ เพราะว่าเริ่มเห็นโอกาสอยู่นะ ว่าเราแบบน่าจะทำกันได้ อันนี้ก็เหมือนตั้งเควสกับตัวเอง ว่าแบบอยากไปอยู่แล้วแน่ละ คือแบบทุกวันนี้จะไปเที่ยวญี่ปุ่น ผมยังแบบเหมือนกับว่าตั้งข้อกังขาตัวเองในใจเลย ว่า ไม่ๆเราจะไม่ซื้อตั๋วไปเที่ยว เราจะไม่ซื้อตั๋วไปเที่ยว คือเราจะให้ดนตรีพาเราไปเที่ยว และคือต้องได้เล่นด้วย แล้วเราถึงไปอะไรงี้ เราไม่อยากไปแบบ เห้ย อยากไปญี่ปุ่นหวะ ป่ะเก็บตังค์ไปเที่ยวกันไรงี้ แต่เราอยากไปญี่ปุ่นวะ แต่แม่งอยากให้ดนตรีมันพาเราไปด้วย มันคงเป็นอะไรที่แบบสะใจเรามาก และก็คงสนุกกว่าเดิม เหมือนตอนแรกจะได้ไปแล้ว แต่มันติดโควิดกันก่อน อย่างไตหวัน เกาหลี ปีนี้จะได้ไป ก็ไม่ได้ไปเลย พวกเราก็เลยแบบ อ่ะไม่เป็นไรทำอัลบั้มสองต่อเลยแล้วกัน เพราะแบบพ้อยท์แต่แรกเราชอบทำเพลงอยู่แล้วแบบที่บอก เราก็แบบอยู่ว่างๆ และก็ไม่เล่นดนตรี ทำไรดี ? ทำเพลงไง ก็สนุกดี ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแบบ เซ็งอะไร ถามว่าเซ็งไหมไม่ได้ไป ก็เซ็งอะ แต่ว่ามันก็โดนหมดทุกคนไม่ใช่แค่พวกเรามีผลกระทบกันหมด เราเลยคิดว่าแบบก็ดี จะได้ทำอัลบั้มสองต่อด้วย ทำเพลงต่อไป ทำเพลงให้ได้แบบดีที่สุดเท่าที่เรารู้สึกว่าเรามีความสามารถจะทำได้ แล้วก็อยากไปเล่นดนตรีให้เยอะๆเลยครับ


ไหนๆก็พูดถึงอัลบั้มสองแล้ว อยากรู้ว่าทิศทางของมันหน่อย แตกต่างจากเดิม หรือเพิ่มทอนอะไรไหม ?


ผมว่ามันโตขึ้นมากกว่า แต่ก็เป็นเพื่อนกันทำเพลงเหมือนเดิม แค่แบบว่าคิดมากขึ้น ใส่ใจกับมันมากขึ้น อย่างที่บอกเลย ผมแบบจะย้ำๆ ย้ำข้อเดิมเสมอเลยว่า เราชอบทำเพลงอยู่แล้ว เรารู้สึกเราสนุกเราอยู่กับมันได้แน่ ถ้าเราไม่ได้ทำมันจะฟุ้งซ่านมันจะเครียด แบบอยู่เฉยๆน่าจะแบบผมร่วงตายอะไรอย่างงี้ มันคันไม้คันมืออยากหาไรทำ เอาจริงๆผมเพิ่งพักจากอัลบั้มแรกมาไม่ถึง 4 เดือน ผมก็แต่งเพลงต่อเลย เพราะผมรู้สึกว่ามันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เราก็ทำเรื่อยๆ ทิศทางก็คงเป็นในแนวที่เราเป็นเนี่ยละ แต่อาจจะชัดขึ้น แต่อันนี้ไม่กล้าฟันธงนะครับ แต่เราก็รู้สึกว่าเราก็ตั้งใจกับมันมาก แบบเรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นเยอะเลย ก็สนุกเหมือนกัน แค่หวังว่าคนฟังจะรู้สึกแบบนั้นเพราะเราก็ทำแล้วเราก็รู้สึกว่ามันก็ต่างนะ มันต้องมีความเหมือนแหละ ผมคงไม่แบบอัลบั้มสองมาแล้วเปลี่ยนแนวเลย มันคงแบบเกินตัวผมนิดนึงเพราะว่าแค่ด้วยวิธีที่ผมแต่งเพลง ผมแต่งกับกีต้าร์เท่านั้น ด้วยความที่ผมเล่นกีต้าร์มาก่อน ผมไม่ใช่นักร้อง ผมไม่สามารถไปแบบอาบน้ำอยู่ แล้วร้องเพลงออกมาได้ประโยคนึงแล้วแบบ อุ๊ย เพราะจังทำต่อได้ไหม คือแบบผมต้องนั่งกับกีต้าร์ตลอดอะไรงี้ แต่ว่าพวกรายละเอียดในระหว่างทางนั้นอะ มันอาจจะดีขึ้นหรือไม่เหมือนเดิม อะไรอย่างงี้ครับ


เชิญชวนคนที่ยังไม่รุ้จัก หรือไม่เคยฟังเพลงของ H3 F หน่อยไหม


H 3 F : สมมุติว่าเป็นคนที่ไม่ได้ชอบแนวเราอะ คือเราก็ไม่ได้ไปเบมเขาว่าแบบ ถ้าเค้าจะไม่เก็ท ใช่ คือถ้าเค้าจะไม่เก็ท คือเค้ามีสิทธิ์ไม่เก็ทได้เพราะว่าแบบบางทีเรา อย่างตัวผมเอง เรายังชอบกันคนละแบบเลย แต่ว่าที่เรามาแบบอยู่ด้วยกันได้เพราะว่ามันก็เป็น เรื่องแบบ เรื่องอะไรวะ กูออกทะเลแล้วเนี่ย)( แต่ว่ายังไงก็แบบอยากให้ลองเปิดใจฟังดูอะไรอย่างเงี้ยครับ มันอาจจะแบบว่าอาจจะชอบหรือไม่ชอบก็ลองเปิดใจฟังดูเพราะอันนี้เป็นอะไรที่เราตั้งใจกันทำจริงๆ เรามีความสุขกับชิ้นงาน ก็หวังว่าทุกคนจะชอบอะไรอย่างเงี้ย ก็อยากให้ลองเปิดใจ) ใช่ แล้วก็แบบถ้าให้เราอธิบายเอกลักษณ์พวกเราเลย เราก็คงแบบ พูดยากมากเพราะพวกเราก็แบบรับแรงบันดาลใจมาเยอะมากอะครับ เราฟังเพลงนั้นเราฟังเพลงนี้ ลึกๆในใจเรา เราก็อยากแบบ เรายังอยากแบบเป็นอย่างนั้นอยู่เลย เรายังอยากแบบ เค้าเรียกว่าอะไรอะ เรารู้สึกว่าเรายังเรียนรู้ไม่หมดเลย การที่จะไปบอกว่าแบบพวกเราคืออันนี้ ผมรู้สึกว่ามัน สำหรับส่วนตัวผมนะ ผมรู้สึกว่าถ้าผมพูดเนี่ย มันดูแบบ (จำกัดเกินไป) ใช่ มันดูจำกัดตัวเองเกิน แล้วก็ดูบีบบังคับให้ว่าเราคือแบบนี้เท่านั้นอะไรอย่างงี้ คือถ้าอยากให้ทุกคนมอง H3F เป็นอะไร เราก็อยากมอง ว่าแบบ เฮ้ย พวกเราเป็นเพื่อนกัน 4 คนที่ทำเพลงกันมา แล้วชอบในการทำเพลงมากๆและรู้สึกโชคดีมากๆที่มีคนฟังเพลงของพวกเรา แล้วก็เรา เราอยากให้ลองฟังดีกว่า เพราะว่าตอนเราทำเราก็มีความสุขแล้ว เราหวังว่าไม่มากก็น้อยคนที่ได้ฟังเพลงเราก็ต้องมีความสุขไม่มากก็น้อยเหมือนกัน





Watch video :



bottom of page