All Thing Must Pass : เสียงดนตรีในความทรงจำ
เรื่องราวของอดีต มักจะเป็นสิ่งสวยงามเสมอ เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หากเรื่องราวเหล่านั้นยังอยู่ในความทรงจำของเรา มันก็จะเป็นเรื่องที่เราสามารถพูดถึงได้อยู่เรื่อยๆ โดยไม่มีวันเบื่อ ก็คงเหมือนกับการได้ฟังเพลงสักเพลง หรือได้ดูหนังสักเรื่อง หากมันมีสักจุดที่ตรงกับความรู้สึกลึกๆ ภายในใจของเรา เรื่องเหล่านั้นจะสร้างความประทับใจให้กับเราได้ไม่รู้จบ เหมือนอย่างหนังที่ผมจะขอแนะนำในวันนี้ “All Thing Must Pass ร้านเดิม...เพิ่มเติมคือคิดถึง”

โดยปกติแล้วเวลาที่ได้ยินประเภทของหนัง Documentary เราก็จะชิงตัดสินไปก่อนเลยว่า หนังจะต้องน่าเบื่อแน่ๆ และไม่น่าดู แต่ส่วนตัวผมดันเป็นคนที่ชอบและหลงไหลในหนังประเภทนี้ เพราะหนังแนวสารคดีหลายเรื่องนั้น มันอิงจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆ ทุกครั้งที่ผมดูหนังแนวนี้จบ ผมก็จะเซริทหาข้อมูลและนั่งอ่านมันต่อ เพลินดีครับ แถมยังได้ความรู้เพิ่มอีกด้วย หลังๆก็เริ่มมีหนังแนวนี้ออกมาเยอะขึ้น และก็ทำออกมาได้ดี
All Thing Must Pass เป็นหนังที่ทำออกมาในปี 2015 ถือเป็นหนังสารคดีที่คนชอบฟังเพลงไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะเรื่องราวในหนังนั้นพูดถึงร้านแผ่นเสียงในตำนานอย่าง Tower Records ซึ่งตัวหนังก็จะเล่าเรื่องตั้งแต่การเริ่มต้นก่อตั้งร้าน โดยวิธีการเล่าเรื่องแบบค่อยๆ เปิดเผยเรื่องราวของ Tower Records ไปทีละส่วนด้วยฝีมือการกำกับของ Colin Hanks ที่สามารถสะกดเราให้อยู่กับหน้าจอได้ตลอดเวลา เรื่องราวภายในหนังเป็นการจับ Russ Solomon ผู้ก่อตั้ง Tower Records พนักงานของร้าน นักดนตรี และนักวิจารณ์ มานั่งเล่าเรื่องราวความสำเร็จของหอคอยแห่งนี้ ที่เปรียบได้กับสถานที่ที่บ่งบอกถึงความรุ่งเรื่องในการฟังเพลงของผู้คน ตัดสลับกับภาพถ่ายของช่วงเวลาในอดีต ตั้งแต่ยุคแรกของร้าน ซึ่งก่อตั้งในปี 1960 ทุกอย่างในเรื่องมีการเล่าจากความธรรมดาสามัญ ไต่ระดับไปจนถึงจุดสูงสุดแบบสุดๆ ของ Tower Records ที่เขย่าวงการฟังเพลง และเปรียบเสมือนที่เผยแพร่ผลงานเพลงของศิลปินอย่างจริงจัง เปรียบได้กับสื่อกลางที่เชื่อมต่อระหว่างคนฟังเพลงและศิลปิน หลังจากที่หนังเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ เราจะพบว่ากาลเวลาเป็นส่วนสำคัญต่อชีวิตคนเรามากเลยทีเดียว การเกิดของซีดี การถือกำเนิดของเว็บไซต์โหลดเพลง ที่เริ่มทำให้ Tower Records สั่นคลอน จะด้วยความคิดของ Russ Solomon ที่ปักใจเชื่ออย่างหนักว่าผู้บริโภคจะซื้อซีดีฟังไปอีกนาน ก็นะ! ใครจะไปรู้ล่ะว่าสุดท้ายเราจะอยู่ในจุดที่สามารถฟังเพลง Steaming ถูกกฎหมายได้กันแบบฟรีๆ

เรื่องราวของการเปลี่ยนผ่านระหว่าง Generation วิถีการเสพดนตรีก็เปลี่ยนไป ศิลปินก็หาทางออก และดิ้นรนกันอย่างเต็มที่ หอคอยที่เคยยิ่งใหญ่อย่าง Tower Records ก็ไม่อาจเป็นเสาหลักในการเผยแพร่ผลงานของศิลปินได้อีก การถือกำเนิดของเว็บ Napster เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ Tower Records ถึงจุดตกต่ำ
อย่างที่บอกในตอนแรกว่าหนังค่อยๆ เปิดเผยเนื้อหาให้เราเห็นความยิ่งใหญ่ของ Tower Records จวบจนวันที่สาขาต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วโลกค่อยๆ ปิดตัวลง เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถดูแลกิจการต่อไปได้อีก คนฟังเพลงอย่างเราๆ พอได้ดูก็รู้สึกสะอึกกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เหมือนกัน ผมก็เป็นหนึ่งคนที่อยู่ในยุคของการฟังเทป มาจนถึงวันนี้ ที่เราเองก็มี account ฟังเพลง steaming แบบจ่ายเงินรายเดือนเช่นกัน ถึงแม้จะฟังเพลงจากแผ่นเสียงบ้าง แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เราไม่อาจเลือกหนทางการฟังเพลงที่ไม่สะดวกแบบนั้นได้ตลอดเวลา ก็นั่นแหละครับ คงไม่มีอะไรที่จะคงอยู่ตลอดไปหรอก

ทุกสิ่งมันย่อมมีวันเปลี่ยนผ่าน มีการเกิดขึ้นของสิ่งใหม่ ก็มีการจากลาของสิ่งเก่า Tower Records ที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีต ทุกวันนี้พวกเขาก็เหลือสาขาอยู่แค่ในประเทศญี่ปุ่น นอกจากจะขายซีดี หรือแผ่นเสียงแล้ว พวกเขาก็ยังมี Powerbank , ปากกา , กระเป๋าผ้า และ เสื้อ ซึ่งเสื้อเนี่ย ผมชอบมากเคยเป็นเรฟทำเสื้อ Free Bird อยู่ครั้งนึง ที่หลายๆคนเคยเห็น เสื้อสีเหลือง สกรีนสีแดง ก็เหมาะสำหรับคนที่ไปเที่ยวให้ได้ซื้อติดไม้ติดมือเป็นที่ระลึกได้กัน

ถึงแม้เวลาจะเปลี่ยนไป วิธีการฟังเพลงจะเปลี่ยนแปลง แต่ความต้องการฟังเพลงของผู้คนก็ไม่เคยลดลงเช่นกัน อยู่แค่ว่าเราจะปรับวิถีชีวิตเพื่อที่จะอยู่ร่วมกับดนตรีไปในแบบไหนแค่นั้นเอง เหมือนดั่งสโลแกนของ Tower Records ที่ว่า No Music No Life
