top of page

28 ปี คนเดินดิน "อารักษ์ อาภากาศ"

ศิลปะคือความน่าหลงใหล คือความสวยงาม ที่ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีใครปฎิเสธบทเพลง ไม่ว่ามันจะลอยมาจากวิทยุ ทีวี บนเวทีคอนเสิร์ต หรือแม้แต่ข้างถนน เสียงนั้นล้วนไพเราะ และมีความงดงามในแบบของมัน พูดคุยกันให้หายคิดถึงกับ 28 ปี คนเดินดิน ของ "อารักษ์ อาภากาศ"



ย้อนกลับไปจุดเริ่มต้น ของ อารักษ์ อาภากาศ เริ่มขึ้นยังไงครับ ?


อารักษ์ : มันตอบได้หลายแง่มุม คือว่าไปแล้วลึกๆน่าจะนึกได้ว่าพี่เบื่อมั้ง แล้วก็กลัวงานประจำ เห็นชีวิตคนทำงานประจำ แล้วก็ลองทำงานประจำอยู่ ช่วงวัยรุ่นเนี่ยหลังจากลับจากเมืองนอกอ่ะนะ

มาทำงานประจำ อยู่ในอังกฤษก็ทำงานประจำเป็นปีเหมือนกันนะ ทำงานประจำก็ต้องไปตอกบัตรเมืองนอกอะนะ เมืองไทยก็ต้องเข้างานตรงเวลา ออกงานตรงเวลาว่างั้นเถอะ ก็ 8 ชั่วโมง เราขี้เบื่อ เรามีความรู้สึกว่าถ้าถามเมื้อกี้นี้ก็คือว่า มันน่าจะเป็นความรู้สึกว่าพอเล่นดนตรีเป็น หัดเล่นสนุกๆเนี่ย พอเล่นเป็นมันดันหาเงินได้ตั้งแต่ตอนอายุ 16 - 17 อ่ะ ไปเล่นโฟล์คซอง ปิดเทอมงี้อ่ะนะ มันก็ได้เงินง่าย สมัยก่อนจะ ชั่วโมงละ 30 บาทได้นะ คนเก่งๆก็ได้ 40 - 50 ผมก็จะได้เรทต่ำๆ เพราะผมเล่นไม่เก่ง ได้อยู่ 30 บาทไรอย่างงี้ เล่นเพลง โฟล์คซองทั่วๆไป ก็เป็นเพลงสากล เป็น Neli young , Crosby , Peter paul , Simon and garfunkel , John denver เปิดสมุดร้องบ้างอะไรบ้าง ก็คือสาเหตุที่ว่ากลัวความจำเจ

ก็กลายเป็นว่ามันเป็นทางออก และมันก็ง่ายที่จะอยู่ วัยรุ่นสมัยก่อน ก็พี่เล่นวันนึงขยันไปเล่น 2 - 3 ชั่วโมง ก็ไม่ต้องขอเงินพ่อแม่ใช้ละนะ มันสามารถนั่งตุ๊กๆได้เลยนะ กินอาหารร้านอาหารอย่างงี้ได้เลยนะ เพราะว่าข้าวผัดอเมริกันจานละ ถ้าจำไม่ผิดร้านหรูๆก็ 10 บาท 12 บาท 15 บาท เราเล่นได้ชั่วโมงละ 30 เล่นวันละ 3 ชั่วโมง ก็มีแล้ว 90 อะไรอย่างงี้ พี่สามารถกินเบียร์อะไรก็ได้ ซื้ออะไรกินก็ได้


แล้วมาเริ่มเขียนเพลงเองตอนไหน


อารักษ์ : ทำไมมาแต่งเพลง ก็เล่นมากๆเข้ามันมีความรู้สึก พร้อมไปกับเห็นวงการเพลงที่มีเพลงไทยวัยรุ่นออกมาช่วงนึง มี คาราบาว มี ปู พงษ์สิทธิ์ มี คาราวาน ที่ๆผมฟังอะนะ พงษ์เทพ กระโดนชํานาญ อะไรพวกนี้ เราก็ว่าเราแต่งเพลงได้เหมือนกันนะ อะไรอย่างงี้ ก็ลองแต่งๆดู แล้วก็แอบคิดว่าเป็นคนภูมิแพ้แต่เด็กอ่ะนะ เป็นคนไม่สู้ ไม่แกร่ง ร่างกายไม่แกร่ง ร่างกายแบบร้อนง่ายหนาวง่าย เราก็คิดถ้าเราทำงานกลางคืนดึกๆแบบนี้ไปเรื่อยๆเราคงตายแน่ๆเลย เพราะอยู่ในห้องแอร์ สมัยก่อนสูบบุหรี่ข้างในได้ด้วย รู้สึกว่าคิดเรื่องพวกนี้เยอะอยู่ เราก็เลยลองแต่งเพลงถ้าเกิดเเต่งเพลงได้ ขายได้ แล้วมีคอนเสิร์ตได้ เราก็คงไม่ต้องมานั่งร้องทุกวัน คิดตื้นๆ คิดแบบง่ายๆ ก็ลองเขียนเพลงดู ยืดยาวก็มาอายุ 30 กว่าละ และมันก็กลายเป็นที่รู้จักหลังจากที่ได้รางวัล สีสันอะวอร์ดส์ มันก็เลยทำให้คนรู้จักเราเร็วมากขึ้น คือชุดแรกก็ได้รางวัลเลย ชุด คนเดินดิน เพลงแรกที่แต่งเนี่ย ไม่ได้ลง เพลงแต่งร้องเล่นๆเป็น ballad เป็นสดๆเยอะมากสมัยก่อน แต่งทันทีอะไรอย่างงี้ มีความรู้สึกสนุก นั่งกินเหล้านี่ก็แต่งเลยงี้ แต่ว่ามันไม่ได้มีการบันทึก เพลงแรกที่บันทึก เป็นไปได้น่าจะเป็นเพลง คนเดินดิน นะ จะมีแต่งให้แม่ แต่งจบก่อนหน้านี้ก็มีแต่ไม่ได้เผยแพร่ไง เป็นเพลงแรกที่แต่งแล้วเผยแพร่ ไม่ได้เผยแพร่ก็มีเยอะมาก



ครบรอบ 28 ปี คนเดินดิน


อารักษ์ : จริงๆก็ออกเพลง ทำเพลงมานานแล้วนะ เพลงออกสู่สาธารณะชนเนี่ย ก็ปี 34 ทำเองขายเองอยู่พักนึง แล้วมาถึงปี 35 ก็ได้ทำ SP อ่ะนะ นับมาถึงนี่จริงๆก็ 29 ปีแล้วล่ะ อย่างเพลง คนเดินดิน นี่มันก็มีที่มาที่ไป คือที่บ้านเราเห็นพ่อทำงานตลอดทั้งชีวิต ตั้งแต่ผมเกิดมาเลยอะ ภาพที่ผมเห็นเห็นพ่อพักผ่อนก็แค่นั่งสูบบุหรี่มวนนึง จิบน้ำชา แม่ก็คล้ายๆกัน แล้วก็เห็นพี่น้องเยอะในบ้าน มันเยอะมันก็เรื่องมาก และที่บ้านค้าขาย มันก็จะเห็นสภาพการค้าขาย แล้วมันน่าจะสะเทือนใจที่ว่า เห็นพ่อแม่ทำงานเยอะ แม่นี่ก็มีลูกเยอะ ก็เป็นธรรมดา พ่อแม่ก็จะชอบรักลูกคนที่เรียนเก่งที่สุด คือไอคนที่มีความรู้ดี แล้วมันก็จะมีคนที่อยากจะเก่งเหมือนอย่างงี้ พี่น้องมันก็ทำให้เห็นว่าเรามีแบบนี้ พี่ชายผมคนเก่งอะไรอย่างงี้ มันก็มีคนที่อยากเก่งแบบพี่ชาย แต่รู้สึกว่ามันวุ่นวายเหลือเกิน แล้วผมก็กลายเป็นเคยเห็นสภาพรวม ก็คล้ายๆกันเลยในสังคม ในโรงเรียนไรงี้ มันก็ทำให้เราพูดออกไปแบบนั้นเลยว่า ความรู้ดี ความรู้ลอง แล้วก็คนเดินดิน มันสามคน ผมอยากจะบอกแม่ว่า ผมลำบากมากเลย ผมเป็นคนที่ 2 ไง ก็ขอเป็นแค่คนเดินดินอะไรอย่างงี้


สมัยก่อนกับสมัยนี้ การทำเพลงมันแตกต่างกันเยอะไหมครับ


อารักษ์ : ไม่เยอะเท่าไหร่นะ แบบว่า อาจจะมีความต่างก็คือว่า ไอเรื่องตลาดของการซื้อขายมันต่างกว่าเยอะ ก็ทำให้เราเขียนเพลงแล้วก็ออกมาน้อยอะไรอย่างงี้อ่ะนะ


Format ที่เปลี่ยนแปลงไปมีผลกับตัวพี่อารักษ์ไหม ?


อารักษ์ : ผมว่ามันมีผลกระทบหมดอ่ะนะ ถ้าเอาเศรษฐกิจเป็นตัวยืนเนี่ย ก็คือมันก็กระทบลดหยั่นกันลงมา ก็กระทบกันลงมา นี่ก็เลยต้องทำเสื้อขายนี่ไง ทำเสื้อให้ลูกชายขาย ใน facebook ถ้าใครสนใจ ลองเข้าไปดู อาจจะมีนิดๆหน่อยๆ


วิธีคิดการทำเพลงในแบบของ อารักษ์ อาภากาศ


อารักษ์ : ผมว่าก็เหมือนทำอาหารอ่ะนะ ผมว่าทำอาหารมันเหมือนสร้างบ้าน แต่ก็รู้ๆกันอยู่ว่า ดนตรีเป็นสิ่งของที่จับต้องไม่ได้ มันก็เหมือนกับสร้างอากาศอ่ะครับ เข้าไปในครัวมีอะไรก็ใส่ พ่อครัวเก่งๆนี่ก็ต้องนึกเมนูออกมาให้ได้เมนูนึง



มีหลายๆคน หลายๆศิลปิน หยิบยกเพลงของ พี่อารักษ์ เป็นเพลงโปรด อยากรู้ว่า แล้วเพลงโปรดของพี่อารักษ์ล่ะ ?


อารักษ์ : ผมก็พูดเชยๆ ถามปุ๊บ คิดตอบได้เลยทันทีก็คือว่า เพลงทุกเพลงที่เกิดขึ้นของเรามันไม่เยอะแล้วก็มันกลายเป็นว่า มันมีที่มาโดยปริยายมันก็เลย ผูกความสัมพันธ์กับเราอ่ะนะ เพราะงั้นในความสัมพันธ์พวกเนี้ย มันก็เหมือนเพื่อนสนิท ว่าไอเพลงที่เราเขียนทั้งหมดเนี่ย มันเป็นเพื่อนสนิท มันเหมือนลูกเหมือนหลาน เพราะงั้นมันไม่รักใครมากกว่าใคร เนื่องจากดนตรีมันเป็นความงาม มันไม่มีขีดที่จะบอกว่าใครงามกว่าใคร มันเป็นความต่างทั้งหมดอ่ะนะ ฉะนั้นเพลงทุกเพลง ความงามของมัน เกิดมาจากเรา หรือว่ามันผูกพันธ์กับเรา เราก็ย่อมชอบมันโดยเสมอภาค


บทบาทที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยของวัย


อารักษ์ : เหมือนว่าพอชีวิตมันผ่านมาเยอะๆ จากวัยหนุ่มที่ไม่คิดไร มีลูกมีครอบครัวมีความรับผิดชอบมากขึ้น มันก็ผูกพันธ์กับสังคมมากขึ้น เอาจริงก็มองกลับไปถึงเพลงเก่าๆที่เราเขียน เพราะงั้นก็อยากพูดถึงความผูกพันธ์ของสังคม ที่ผมเขียนเพลงเด็กมั่ง ผมเขียนเพลงธรรมชาติมั่ง ผมเขียนเพลงผู้คนบ้างอะไรยังงี้ มันผูกพันธ์กับสังคมแล้วเพลงล่าสุดของผมก็เป็นเรื่องของความคิด กับความรู้สึกอ่ะนะ บางครั้งเราก็ถูกสะท้อนออกจากสังคมที่เราอยู่ คือว่ามันอย่างที่เราเห็นคนละมุมสองมุม มันก็มีเรื่องมากมายให้เราพูดในเชิงสร้างสรรค์ พอเรารู้ตัวว่าเราทำเพลงมันเป็นความบันเทิง ซึ่งถ้ามันทำเป็นขั้น มันเป็นศิลปะได้ เราก็รู้สึกว่ามันท้าทาย ให้เราคิดต่อว่า ชีวิตของ Taxi กับชีวิตของกรรมกร กับชีวิตของคนทำงานดีๆในห้องแอร์ไรงี้ คนทำงานน่าจะมีเวลาพักผ่อน มีเวลาให้ลูก มีเวลาให้ครอบครัว

หลังจากทำงานแล้วอะไรงี้ ซึ่งเราไม่ค่อยได้พบเห็น ฉะนั้นเพลงเราก็เป็นเรื่องสะเทือนใจไปโดยไม่รู้ตัว


แสดงว่า 28 - 29 ปี ของอารักษ์ อาภากาศ ยังไม่เคยปลดระวางการสร้างสรรค์งานเพลง


อารักษ์ : ผมอยู่กับแค่ดนตรี พยายามไปเปลี่ยนแปลงทางอื่นก็รู้สึกว่ามีความฉลาดน้อย ก็อยู่กับดนตรี คิดแต่เรื่องของดนตรี



มีคนเคยเคยเปรียบว่าผลงานเพลงของ อารักษ์ อาภากาศ เป็นเหมือนผลงานศิลปะรูปแบบ Abstract Art อาจจะเข้าใจยาก แต่ถ้าเข้าใจแล้วก็จะได้คุณค่าจากมันมากๆเลย


อารักษ์ : พูดยากนะ คุณเห็นผู้หญิงสวยๆอ่ะนะ แล้วบางทีคุณเห็นว่ามีคนกวาดบ้านอยู่อ่ะนะ บางทีเราอาจจะมองความงามไม่เหมือนกันก็ได้ ถ้าเรามองเชิงชีวิตเราอาจจะเห็นว่า เชิงศิลปะจะดูผู้หญิงกวาดบ้านดูน่าสนใจกว่าผู้หญิงที่สวยที่นั่งเฉยๆก็ได้ ฉะนั้นเพลงมันจึงถูกเปรียบเปรยไปในส่วนที่บางครั้งเราก็หยุดอาการไม่ได้ หรือว่าเราจะทำให้จินตนาการโลดแล่นอ่ะนะ พูดจะฟังยากหรือเปล่า ก็เป็นแบบนั้นเพราะว่าคุณจะสังเกตว่า ผมเนี่ยไม่ได้เล่นกีต้าร์เยอะสักเท่าไหร่ แต่ว่าผมจะทำงานทางความคิดเยอะกว่า กว่าที่จะทำเป็นนิ้วมหัศจรรย์


เขียนเพลง กับ แต่งเพลง


อารักษ์ : เขียนเพลง ผมยังไม่เคยมีใครเห็นข้อต่าง จนลองคิดกับตัวเองจนเห็นข้อต่างว่า แต่งเพลงกับเขียนเพลงอะ น่าจะพูดออกมาได้ว่า เอาแต่งก่อน แต่งเนี่ยมันเหมือนกับว่า คุณสังเกตไหม คำว่าแต่งบ้าน แต่งรถ ถ้าแต่งเพลงก็หมายความว่า มันค่อยๆแต่งไปหรือเปล่า มันเป็นการออกแบบขึ้นมา

ถ้าเกิดเป็นการตกแต่ง เป็นการแต่งที่ดีขึ้น มีการออกแบบว่า บ้านจะแบบนี้ทาสีนี้ มีห้องนอนตรงนี้ คือแต่งใกล้ๆกับคำว่าแต่งอะนะ แต่เขียนเนี่ยมันเหมือนกับว่า มันมีหมดแล้ว ไม่ต้องคิด มีทุกอย่างอยู่หมดแล้ว มีวัตถุดิบอยู่แล้ว แล้วมันก็เลยเขียนออกมา นึกออกไหม


เคยคิดจะขายเป็นซิงเกิลบ้างไหม


อารักษ์ : ก็ไม่เคยคิดจะทำขายเป็นซิงเกิลนะ เพราะไม่คิดว่าจะขายได้ ที่ทำมา 4 - 5 เพลง หลายปีที่ผ่านมาเนี่ย ไม่ได้เอามาขายเลย ส่วนมากเอาไปลงฟังฟรีกันอะไรอย่างงี้ ใน Youtube มันก็มีคนลงของเราเยอะแยะไปหมด ลูกชายก็เลยเอามาลงเป็นของตัวเองบ้าง Official อะนะ ถ้าใครอยากอุดหนุน อารักษ์ อาภากาศ ก็เข้าไปดูช่อง Official Youtube ของ อารักษ์ อาภากาศ เพราะที่เหลือเราไม่ได้มีส่วนต่างร่วมเลย มีโฆษณา มีอะไรด้วย ไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรเลย



ได้ฟังเพลงของน้องๆศิลปินรุ่นใหม่บ้างไหม


อารักษ์ : ต้องยอมรับเลยว่าของตัวเองยังไม่ฟังเลย คือไม่อายเลยจริงๆ ไม่เป็นนักฟังเพลงด้วย เป็นนักฟังเพลงตอนหนุ่มๆ สมัยเล่นแผ่นเสียง หลังจากนั้นก็เล่น ซีดี นิดๆหน่อยๆ แล้วก็ ไม่ค่อยติดตามอะไรต่อเนื่องจริงจัง เป็นคนล้าสมัย


ส่งต่อหรือบอกอะไรกับน้องๆที่กำลังทำเพลง และมีพี่อารักษ์เป็นแรงบันดาลใจหน่อยครับ


อารักษ์ : จริงๆอ่ะ อะไรมันก็ไม่เท่าการกระทำใช่ไหม เพลงมันก็เหมือนที่คนวาดรูปอะนะ มันไม่ต้องอธิบายว่ามันวาดเก่ง หรือว่ามันวาดยังไง คนมันชอบก็คือชอบรูปนั้นอะ บางคนมันไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ผมว่าก็การเล่นดนตรี ถ้าเป็นคนใช้เครื่องมือก็ต้องฝึกให้เก่ง ถ้าอยากจะร้องก็ต้องฝึกเสียงร้องให้ดี แต่ถ้าเป็นคนอยากเเสดง ร้องและแสดงความคิดของตัวเองออกมา ก็ต้องคิดเก่ง คิดเป็น คิดให้เป็นเพลงให้ได้ มันก็ต้องศึกษาหาความรู้ เพราะว่าถ้าเกิดเล่นเก่งเป็นนักฝีมือ ก็มีเรื่องราว ก็เป็นฝีมือกับความคิดรวมกัน อาจจะมีโอกาศสร้างสรรค์ได้เยอะขึ้น มีส่วนร่วมกับความเป็นไปของยุคสมัยได้ ก็อยากให้คนทำงานดนตรีคิดในเชิงสร้างสรรค์กันมากขึ้น ก็น่าจะเป็นเรื่องจรรโลงวงการได้ดีที่สุด และวงการก็ต้องการคนแบบนี้





Watch video :




bottom of page