top of page

ไม้หมอน วชิรวิทย์ "การหยิบจับแง่คิดจากทุกสิ่งรอบตัว และการเรียนรู้จากเรื่องที่เหมือนเดิมๆ"

การเติบโตของคนเรา นอกเหนือไปจากวันเวลาที่คอยหมุนพาเราไป นอกเหนือจากตัวเลขของอายุที่เปลี่ยนไป ในแต่ละช่วงเวลาแล้วนั้น สิ่งสำคัญที่ทำให้เราเรียนรู้และเติบโตขึ้นจากช่วงเวลานั้นๆ ก็คือสิ่งต่างๆรอบตัวที่ไหลผ่าน และมันขึ้นอยู่กับว่า เราจะหยิบจับฉกฉวยมันได้มากน้อยแค่ไหน และนี่คือตัวอย่างของการหยิบจับสิ่งต่างๆรอบตัวเพื่อสร้างแง่คิด มุมมอง และพลังบวกให้กับชีวิต กับผู้ชายที่ชื่อว่า "ไม้หมอน วชิรวิทย์"





การพบกันของดนตรี กับเด็กผู้ชายที่ชื่อ “ไม้หมอน”

ไม้หมอน : มันเริ่มจากการที่ผมชอบเล่นดนตรี โดยเริ่มต้นจากการเล่นดนตรีพื้นบ้าน เล่นพวก โปงลาง พิณ พวกอะไรแบบนี้ตอนอยู่ต่างจังหวัดครับ แล้วพอเข้ามาเรียนประถมที่กรุงเทพฯ ก็ได้เริ่มเล่นเบส แล้วก็มีวงกับเพื่อนๆ เป็นวงโรงเรียนครับ ร้องเพลงแบบงานโรงเรียนเล็กๆ เพลงแรกที่เล่นเบสคือเพลง Zombie ครับ ช่วงปิดเทอมตอนประถมก็มีวงกับเพื่อนครับ ชื่อว่า “ผักกาดดอง” จริงๆเป็นวงที่ตั้งขึ้นมาเพราะว่าอยากเล่นดนตรีเฉยๆ ซึ่งตอนนั้นผมได้เป็นมือกลองครับ จริงๆผมเริ่มตีกลองตั้งแต่ตอนอยู่ชมรมตอนประถมนี่แหละ แต่ว่าก็ไม่ได้ตีจริงจัง แค่ตีเป็น แยกประสาทได้ แล้วก็มาเล่นให้เพื่อน แต่ว่าตอนนั้นด้วยความเป็นเด็กครับ เวลาซ้อมเราก็ต้องใช้เงินมากเวลาที่จะเข้าห้องซ้อม ก็เลยไม่ได้จะจริงจังขนาดนั้นครับ ก็เล่นกับเพื่อนไปสนุกๆ งานแรกที่ได้เล่นของวงผักกาดดอง ก็คืองานแข่งบาส ซึ่งแม่เพื่อนเนี่ย เขาทำงานเกี่ยวกับบาส และผมก็ได้ไปเล่นโชว์ที่งานบาสครับ ด้วยความที่เราซ้อมกันมาไม่ได้เยอะ ก็เป็นโชว์ที่ไม่ได้ดีเท่าไหร่ เวลาผมตีกลองผมก็จะตื่นเต้น จังหวะมันก็จะเร่งขึ้นเรื่อยๆ ฮ่าๆ แล้วพอหลังจากตีกลองเสร็จ ผมก็มาเริ่มร้องเพลงเพื่อชีวิต ตอนเข้ามัธยม ด้วยความที่เราเคยฟังน้าแอ๊ดมาก่อน แล้วเราก็มาเริ่มชอบน้าปูตอนมัธยมหนึ่ง เพลงแรกที่ฝึกเล่นกีต้าร์ร้องเพลง คือเพลง “มือปืน” ครับ แล้วด้วยความที่ว่า เราร้องเพลงให้เพื่อนๆฟังครับ เพลงมือปืนก็เลยเป็นเพลงแจ้งเกิดตอนมัธยม เพื่อนๆก็เลยชวนมาร้องในวงดนตรีที่ชื่อว่า “วาวปั๊ป” ครับ แต่ว่าวาวปั๊ป ผมก็ไม่ได้เล่นเพื่อชีวิต วาวปั๊ปก็จะเล่นพวกร็อค Bodyslam , Clash อะไรอย่างเนี่ย คือวงตอนมัธยมเนี่ย แนวทางของวงก็จะเป็น Rap-Rock พอหลังจากมัธยมต้นเสร็จ ก็ได้ Audition ในโรงเรียน เพื่อที่จะขึ้นในงานโรงเรียน ก็ Audition ไม่ผ่าน ก็มี Fail กันบ้าง แต่พวกผมก็ยังทำวงกันต่อ พอโตขึ้นเรื่อยๆก็มาได้เล่นตอนมัธยมปลายครับ มีนักร้อง 2 คน ก็คือผม กับรุ่นพี่ผู้หญิงอีกคนชื่อว่า อายส์ พัตตา ก็ร้องด้วยกัน ร้องคู่กัน ด้วยความเป็น Rock ตอนนั้นก็จะมีร้องว๊ากด้วย แล้วก็แต่ง Rap เพื่อที่จะ Rap เปิดตัววง Rap ระหว่าวกลางเพลง ซึ่งงานแรกที่ได้เล่นในโรงเรียนก็คือ เล่นที่หอประชุมในโรงเรียน ก็เลยได้แจ้งเกิดวงดนตรีในโรงเรียนด้วย รุ่นน้อง รุ่นพี่ ก็จะรู้จักกันเพราะว่า มือกีต้าร์หล่อ ฮ่าๆ แต่ว่านักร้องที่ร้องคู่กับผมอ่ะ จะเปลี่ยนบ่อย ก็จะมีคนแรกครับ ชื่อ อายส์ พัตตา ครับ เป็นรุ่นพี่ผู้หญิง แล้วก็คนที่ 2 ก็คือ น้องป็อบ เป็นรุ่นน้อง ซึ่งนักร้องที่ร้องคู่เนี่ย จะต้องเป็นผู้หญิง จริงๆคนที่ชวนผมเข้าประกวด The Voice ครั้งแรกก็คือ พี่อายส์ พัตตา เนี่ยแหละครับ แต่ว่าผมไม่ได้ประกวด ด้วยว่าตอนนั้นความยุ่งยากของการสมัคร ก็คือต้องไปถ่ายรูป อัดรูป ผมก็เลยไม่ได้อัด ไม่ได้ถ่าย ไม่ได้ทำส่ง เพราะว่าผมติดเพื่อน ติดเล่นบอลอะไรอย่างนี้ด้วยครับ ก็ทำวงนี้กันจนจบมัธยมหก มีไปประกวดด้วย แต่ว่าไม่เคยได้เข้ารอบเลย ตกรอบแรกตลอด ก็ทำวงเล่นกับเพื่อนๆไปนี่แหละครับ สนุกๆ ก็จะมีบางทีเขาก็จ้างไปเล่นบ้าง เพื่อนๆจ้างกัน อะไรอย่างเนี่ยครับ สุดท้ายแล้วก็ พอตอนปี 1 มหาวิทยาลัยครับ เพื่อนก็ชวนไป The Voice แล้วด้วยความง่ายของการสมัคร ก็แค่อัดคลิปส่ง ก็เลยได้เข้าไปประกวดใน The Voice ครับ




การประกวด The Voice เปลี่ยนแปลงตัวของไหม้หมอนไปยังไงบ้าง ?


ไม้หมอน : ก่อนประกวด The Voice ผมแทบไม่รู้ตัวเองเลยว่า ผมทำอะไรเก่ง คือชอบจับนู้น จับนี่มาเล่น กีต้าร์ กลอง ดนตรีพื้นบ้าน พวกเครื่องดนตรีผมจะเป็นแค่ในระดับนึงครับ แต่พอเรามาประกวด The Voice มันก็ทำให้เรารู้ตัวเองว่าเราร้องเพลงได้ แต่งเพลงได้ ก็ทำให้เรารู้ว่า เราจะมุ่งไปในทางด้านนี้ เพราะว่าตอนมัธยม 6 ผมก็ยังไม่รู้ตัวเองเลยว่าจะเข้าไปเรียนอะไร ผมก็จะไปตามเพื่อน อยากอยู่ในสิ่งแวดล้อมของดนตรี ซึ่งตอนเด็กๆผมก็อยู่กับดนตรีมาตลอด จนโตก็ยังอยู่กับดนตรี แล้วก็ได้ร้องเพลงจริงๆจังๆ ก็หลังจาก The Voice นี่แหละครับ แล้วก็เรื่องความรับผิดชอบต่อตัวเอง คือผมจะเป็นคนขี้เกียจมาก ไม่ค่อยจะทำอะไร ผมจะตามใจความรู้สึกตัวเอง แล้วพอหลังจาก The Voice เราก็รู้ว่า เราจะต้องพัฒนาตัวเองเพื่อที่จะโตขึ้น แล้วก็สามารถที่จะทำงานได้อย่างมีความเป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบที่ดี

จุดเริ่มต้นที่ทำให้หันมาสนใจในแนวทางของดนตรีเพื่อชีวิต


ไม้หมอน : ผมชอบความ Real ของเพื่อชีวิต คำพูดที่มีอะไรแฝงอยู่ข้างใน ด้วยความที่ผมเนี่ย เป็นคนที่ชอบคิดด้วย และผมก็ประทับใจในตัว “พี่ปู พงษ์สิทธิ์ คําภีร์” คือผมได้ฟังเพลงของพี่ปูตอนกลับจากต่างจังหวัด และด้วยความที่เพลงของเขาดูแบบวัยรุ่น และพี่ปูเขาจะร้องแบบมีพลัง ผมก็เลยชอบมาก ชอบพี่ปูมากๆ จริงๆเราไม่รู้หรอกครับว่าเราร้องเพลงเพื่อชีวิตเพราะ อย่างเวลาแม่ฟังผมร้อง เขาก็จะรู้สึกเฉยๆ เพราะว่าแม่ผมฟังมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ว่าเพื่อนผมเนี่ย จะชอบให้ผมร้องเพื่อชีวิต จริงๆร้องไปก็ไม่ได้มีคนบอกว่าเพราะอะไรขนาดนั้น ผมก็ร้องไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ อย่างของพี่ปูเนี่ย ผมจะซื้อหนังสือมาเลย จะมีจุดเริ่มต้นก็คือ ผมจะซื้อหนังสือที่เขารวมฮิตเพื่อชีวิต หรือว่าเป็นเพลงของพี่ปู ที่มีคอร์ดอะไรอย่างเนี่ย ผมก็จะดีดกีต้าร์แล้วก็ร้องเพลงแทบจะทุกหน้าเลย จนแบบเราได้น้ำเสียงเพื่อชีวิตมา แล้วก็ร้องไปเรื่อยๆ จนเราเพิ่งมารู้ตัวว่า เราร้องเพลงเพื่อชีวิตเพราะ ก็ตอนเข้าประกวด The Voice นี่แหละครับ


แล้วไม้หมอนเรียกตัวเองว่าเป็นศิลปินเพื่อชีวิตไหม ?


ไม้หมอน : ผมคิดว่าผมเป็น Modern มากกว่านะ ผมไม่ได้ไปทาง Real จ๋า เพราะว่า ด้วยดนตรีเนี่ย ผมก็ฟังทางตะวันตกมาด้วย ฟังทางสากลมาด้วย ผมก็จะชอบ Pink Floyd แล้วก็ฟังเมทัลด้วยก็คือ Avenged Sevenfold แล้วก็ชอบดนตรี Classic ด้วย เวลาผมทำดนตรีเพื่อชีวิต ส่วนใหญ่ผมจะได้ Melody ทางเพื่อชีวิตมาด้วย แล้วเพลงที่เก็บไว้ก็ออกจะไปทางเพื่อชีวิตเยอะด้วยครับ แต่ว่าดนตรีในการทำเนี่ย ผมจะเป็นคนที่ชอบความ Chorus ครับ มีโอกาสได้ทำเพลงออกมาเพลงนึงครับ เป็นโปรเจคส่วนตัว ชื่อว่าเพลง "มดอพยพ" ครับ ก็ผสมผสานความแอฟริกามาผสมลงในเพลงด้วย เป็นแบบคอรัสพื้นบ้านของเขา เพราะว่าผมมีอาจารย์ที่มหาวิทยลัยมาจากทางนั้น ผมก็เลยให้อาจารย์มาช่วยอัดให้




เป็นที่มาของความหลากหลายบนผลงานเพลง


ไม้หมอน : ใช่ครับ ตอนนี้มีทั้งหมด 4 เพลงครับ เพลงแรกคือเพลง หลุด ที่ปล่อยไป แล้วก็เพลงที่สองเพลง คว้าชัย เพลงที่สามเพลง กระจกวิเศษ แล้วก็เพลงที่สี่ก็เพลง เหมือนเดิมๆ จากเพลงแรกก็ได้รับผลตอบรับที่ดี ซึ่งเพลงหลุด เนี่ย ผมแต่งตั้งแต่ตอนมัธยม 5 ครับ ตอนนั้นที่ผมแต่ง ผมไม่ได้คิดถึงแนวเพื่อชีวิตเลย ด้วยความที่ผมเนื้อเสียงเพื่อชีวิต แล้วด้วย Melody ของเพลงหลุดที่มันป็อบ แล้วมันก็มีความลงตัวของเนื้อเพลงอ่ะครับ แบบว่า มีจุดเริ่มต้น จุดพีค แล้วก็ บทสรุป มันก็เลยออกมามีมิติมากขึ้น อันนี้ผมฟังเขาเล่ามาอีกทีนะ ฮ่าๆ จริงๆผมไม่ค่อยได้ทบทวนกับตัวเองเท่าไหร่ ว่าผมทำแบบเนี้ย มันเวริคไหม ส่วนใหญ่จะมีแต่คนมาบอกผม แล้วผมก็เอามาคิดประมวลผลว่า มันจริงไหม ?

เพลงนี้ตอนอีสานเขียว เห็นว่าได้วง Taitosmith ขึ้นไปแจมกันด้วย


ไม้หมอน : ผมชอบ Taitosmith มาก ตอนผมไปดูที่ร้าน ส.ค.ส ครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะไปดูพวกพี่เขาเลยนะ วันนั้นผมจะไปดู Folk9 แล้วมี Taitosmith เป็นวงเปิด แล้วพอ Taitosmith ขึ้น ผมก็ไปดูสักหน่อย แบบว่าชื่อวงมันมีความแปลก แล้วมันไม่เหมือนใคร ตอนแรกผมก็คิดว่าแนวเพลงจะคล้ายๆกับ Folk9 เพราะว่า Folk9 เป็นวงหลักตอนนั้น มี Folk9 , ปลานิลเต็มบ้าน อะไรอย่างเนี่ยครับ แต่พอวงเขาขึ้นดนตรีมา ตอนนั้นเหมือนเปิดด้วยเพลง ฮาคูน่า มาทาท่า มั้ง จำไม่ได้แล้วว่าเปิดด้วยเพลงอะไร แต่ว่าวันนั้นเป็นวันที่ Taitosmith เล่นเพลง อนัตตา สองรอบ แล้วคือผมจะชอบเพลง Amazing Thailand มากครับ คือผมฟัง Amazing Thailand กับ Pattaya Lover แล้วผมรู้สึกว่าวงนี้ “สุดจัด” แล้วก็มีเพลง แดงกับเขียว ด้วย ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอวงที่มีแนวเพลงแบบนี้นานแล้ว ผมรู้สึกว่าชอบวงนี้มาก แล้วหลังจากทำเพลง หลุด เวอร์ชั่นแรกเสร็จ แล้วตอนจะทำเวอร์ชั่นสอง เขาก็ให้หาวงที่จะให้ Featuring ด้วย แล้วให้หาวงที่ไปเล่นในงาน อีสานเขียว เพราะเราจะไปเล่น อีสานเขียว อยู่แล้ว แล้วเราก็มีแพลนที่จะทำ MV บวกกับ อีสานเขียวด้วย ซึ่งก็มี Taitosmith อยู่ในไลน์อัพนั้นด้วย ก็เลยบอกพี่เขาว่าผมชอบวงนี้มากเลย พี่ลองเปิดฟังสิ ผมก็เปิดให้ที่ค่ายดูครับ ค่ายก็ชอบครับ ก็เลยได้มาคุยกัน ตอนแรกเจอ พี่โฟร์โมสต์ ก่อน ก็ได้คุยกัน คุยแลกเปลี่ยนนู้นนี่นั่นกัน แล้วก็มาเจอ พี่จ๋าย แล้วก็พี่ๆในวง ก็ได้คุยกัน แล้วเราก็มีความคิด มีทัศนคติคล้ายๆกัน เราก็เลยได้ร่วมงานกันครับผม ก็ดีใจที่ วงที่เราดูตั้งแต่แรกตอนนั้น ซึ่ง พี่จ๋าย บอกว่า วันที่ร้าน ส.ค.ส เป็นครั้งแรกที่เขาขึ้นโชว์ด้วย แล้วผมก็เป็นแฟนคลับวงเขาตั้งแต่แรกเลย จนตอนนี้ Taitosmith เขาแบบไปไกลมากอ่ะ แล้วผมก็รู้สึกดีใจ ที่เอ่อ…. ครั้งนึงเราเคยได้ Featuring เพลง กับวง Taitosmith

เพลง เหมือนเดิมๆ


ไม้หมอน : จริงๆเพลงนี้ ผมแต่งเกี่ยวกับโลกด้วยซ้ำ คือตอนนั้นเขาให้แต่งเพลง แล้วผมก็กำลังอินเรื่องโลกอยู่ แล้วแบบผมก็คิดว่าโลกนี้ กับมนุษย์เนี่ย เหมือนเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันมานานแล้ว แบบขาดกันไม่ได้สักที ไม่ว่าคนจะทำร้ายโลกมากแค่ไหน โลกจะทำร้ายคนมากแค่ไหน สุดท้ายแล้วคนก็ไม่สามารถหนีออกจากโลกได้ โลกก็ไม่สามารถหนีออกจากคนได้ ซึ่งผมอยากพูด Message ผ่านวัยรุ่น คือเพลงบางเพลงเขาก็จะพูดไปตรงๆเลย ว่าโลกเป็นแบบนี้ๆนะ แต่ว่าผมอยากสื่อผ่านในมุมมองของความรัก ผมก็เลยแต่งเนื้อเพลงเกี่ยวกับความรัก ที่จะมีคู่ สองคู่นึง ที่คบกันแล้วก็ทะเลาะกันเป็นประจำ แล้วสุดท้ายก็เลิกกัน แล้วคนที่เลิกกันก็ต้องไปปรึกษาเพื่อน จะบอกเพื่อนว่า “เห่ย กูเลิกแล้ววะ” “กูไม่ไหวแล้ววะ” แต่ว่า วันต่อมาเราก็เห็นเขากลับไปคบกันอยู่ดี แล้วตัวเราก็สงสัยว่า ทำไมเขาเจ็บมาเยอะ แล้วก็มาบ่นว่าเจ็บ ว่านู้นว่านี่ โดนทำแบบนู้น โดนทำแบบนี้มา เหมือนเราโดนมีดบาดอ่ะครับ พอเราโดนมีดบาด เราก็ไม่อยากจะโดนมีดบาดอีก เราก็จะหลีกเลี่ยงการโดนมีดบาด แต่ว่าความรักเนี่ยครับ เหมือนเราโดนกระทำแล้วกระทำอีก เราอยากหลีกเลี่ยง แต่ทำไมมันถึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วก็ตั้งข้อสงสัยนี้ขึ้นมา จึงคิดกับตัวเองว่า ถ้าจะทำให้เราเข้าใจจริงๆเนี่ย เราต้องไปอยู่ในจุดๆนั้น ที่อาจจะเข้าใจในเรื่องราวของเขาก็ได้

แสดงว่า เหมือนเดิมๆ ของ ไม้หมอน ไม่ใช่เรื่องความรัก


ไม้หมอน : ตอนที่แต่งไม่ใช่เรื่องคามรัก แต่ด้วยว่า คนเขาจะอินในเรื่องของความรักมากกว่า ที่จะเป็นเรื่องของโลก Message ก็เลยจะแปลงไปในเรื่องของความรักมากกว่า แต่จริงๆมันไม่ใช่เรื่องของความรักตอนผมแต่ง




ซิงเกิ้ลต่อไปของ ไม้หมอน


ไม้หมอน : เป็นเพลงที่เริ่มลึกขึ้นมาล่ะ ผมจะทำเพลงที่แบบลึกมากๆ กับสามารถฟังง่าย อย่างเพลงหลุด จะฟังง่ายแต่ก็มีความยากในตัว ส่วนเพลง คว้าชัย กับ กระจกวิเศษ ก็จะเป็นในสิ่งที่เราอยากพูดจริงๆ อย่างเช่นตอนกระจกวิเศษเนี่ย ผมจะพูดเกี่ยวกับสมาร์ทโฟน แล้วด้วยเนื้อพลงมันจะเป็นแนวบทกวี แบบให้เขาไปตีความกันเอง จะมีความที่ไม่เข้าใจ มีความที่ยาก อะไรอย่างเนี่ยครับ แล้วเพลงต่อไปเนี่ย ชื่อเพลงว่า อาวุธพิฆาต เป็นเพลงที่ผมพูดถึงคำพูดของคนครับ ที่บางทีเนี่ย คนเหมือนมีอาวุธอยู่กับตัว มีอาวุธพิฆาต นั่นก็คือปาก คนเราเนี่ยจะลืมเสมอว่า แค่คำพูดหนึ่งคำพูดเดียว ก็สามารถทำให้คนฆ่าตัวตายได้ ทำให้คนไม่ดีได้ ในมุมกลับกันก็สามารถทำให้คนดีได้เช่นกัน ผมก็เลยยก Message นี้ ขึ้นมาพูดว่าคนเราเนี่ย มันก็มีอาวุธเหมือนกันนะ ที่มันไม่ใช่พวกปืนหรืออะไร แต่มันเป็นปากของเรา คำพูดของเรา ที่ทุกคนมักจะลืมไปเวลาใช้ บางคนก็อาจจะด่าคนอื่น คนนู้นคนนี้จนเคยชิน ก็เลยใช้อาวุธพิฆาตอันนั้นบ่อย แต่ว่าบางคนที่เขาใช้ปากในมุมที่มีประโยชน์ ในมุมที่สร้างคน มันก็จะทำให้เป็นแง่บวกในการพูด ในการใช้อาวุธในเรื่องดีๆ เป็นเหมือนแง่คิดเล็กๆมากกว่า ว่าเออ…. เราอย่าลืมนะว่าเรามีอาวุธอยู่กับตัว

จะได้ฟังกันเมื่อไหร่


ไม้หมอน : ก็เพิ่งไปอัด Demo มาครับ กำลังอยู่ในช่วงดำเนินการครับว่า มันควรจะเป็นแนวทางไหนดี เรื่องดนตรี เรื่องการนำเสนอ เรื่องการทำนู้นทำนี่ต่างๆครับ


"𝐄𝐚𝐫𝐭𝐡 𝐃𝐚𝐲 𝐂𝐨𝐧𝐜𝐞𝐫𝐭 ไม้หมอนโอบกอดภูเขา"


ไม้หมอน : คอนเสิร์ตนั้นเป็นวัน 𝐄𝐚𝐫𝐭𝐡 𝐃𝐚𝐲 ครับ เป็นวันเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม แล้วก็เป็นวันเกิดของ Bob Marley ด้วย แล้วหลังจากที่ปล่อยเพลง เหมือนเดิมๆ ทางค่ายก็คุยกันว่า “เรามาทำคอนเสิร์ตดีไหม” เพื่อที่จะได้โปรโมทเพลงด้วย โปรโมทความเป็นตัวเองอะไรต่างๆ แล้วก็ทำเพื่อการกุศลด้วย ตอนนั้นก็ทำคอนเสิร์ตเพื่อระดมทุนไปช่วยไฟป่าภาคเหนือที่เชียงใหม่ครับ เพราะผมจะมองพวกเรื่องสิ่งแวดล้อมซะเยอะด้วย ตอนเด็กๆผมก็อยู่กับป่า กับเขา กับนา ต้นไม้ ต้นหญ้า มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ในคอนเสิร์ตนั้นผมก็เลยแต่งนิทานโดยพูดเกี่ยวกับโลก แล้วตอนนั้นผมก็มีเพลง มดอพยพ ที่ทำโปรเจคร่วมกับค่าย Tomato Record เป็นโปรเจคช่วยไฟป่า ของออสเตรเลีย ผมก็เลยยกเพลง มดอพยพ มาพูดเช่นกัน ซึ่งมดเนี่ยเวลาเกิดภัยพิบัติต่างๆ เกิดไฟป่า หรือว่าน้ำท่วมเนี่ย มดจะเป็นสัตว์ที่รู้ก่อน จะมีน้ำท่วมมาแล้วนะ จะมีไฟป่ามาแล้วนะ มดก็จะทำการอพยพเพื่อหนีไฟป่าอะไรพวกเนี่ยครับ แล้วเมื่อไหร่ละ? ที่คนจะรู้ถึงสิ่งที่คนได้ทำ ว่ามันมีผลกระทบกับโลกมากแค่ไหน ก็เลยได้ทำคอนเสิร์ต แต่ว่าตอนนั้นเป็นช่วงเคอร์ฟิว ก็เลยมีเวลาน้อยมากในการที่จะทำ เราก็ได้เล่นแค่ไม่ถึงชั่วโมง เพราะว่าพี่ๆทีมงานก็ต้องกลับบ้านก่อนสี่ทุ่ม ก็เลยอาจจะเป็นคอนเสิร์ตที่สั้น แต่ว่าผมก็เตรียมมาแบบเต็มที่เพื่อที่จะส่ง Message ถึงผู้คน แล้วก็มีโอกาสได้ร้องเพลงสากลเพลงแรกก็คือ เพลง One Love ออกอากาศ เป็นเพลงของ Bob Marley ซึ่งคนเขาก็รู้สึกชอบกัน ว่าเออเราก็ร้องเพลงสากลได้นะ แต่ว่าสำเนียงก็จะไทยๆนี่แหละครับ





ในฐานะที่เราคือหนึ่งในคนที่สนใจเรื่องของโลกใบนี้ เลยอยากจะรู้ความคิดเห็นของไม้หมอนต่อสถานการณ์ตอนนี้หน่อย


ไม้หมอน : ผมอาจจะชอบข้อดีของสถานการณ์ในช่วงนี้ครับ ชอบแค่ข้อดีนะ แต่ข้อเสียผมก็ยังไม่ชอบเหมือนเดิม ข้อดีก็คือ เรามีเวลาอยู่กับครอบครัวเยอะขึ้น มีเวลาได้ทำการเรียนรู้กับครอบครัวมากขึ้น ซึ่งตอนเรียนมหาวิทยลัยผมก็จะอยู่หอ ไม่ได้อยู่กับครอบครัวขนาดนี้ จากปกติที่ผมเนี่ยอยู่หอ ก็ได้กลับมาอยู่บ้าน และด้วยห้องนอนผมมันไม่มีแอร์ครับ ก็เลยได้มาใช้ชีวิตร่วมกับพ่อ กับแม่ กับน้อง มากขึ้น ผมก็ได้มานอนห้องพ่อ ห้องแม่ ห้องน้อง แล้วก็ทำให้เห็นความอบอุ่นในวัยเด็กที่ไม่ได้เห็นมานานก็คือ การกินข้าวด้วยกัน การทำกิจกรรมต่างๆด้วยกัน การพูดคุยกันที่มากขึ้น ตื่นเช้ามาก็ได้ยินเสียงเดิมๆที่แม่จะเรียกกินข้าว แล้วก็จะได้ยินเสียงของธรรมชาติมากขึ้น นั่งหลังบ้านก็ได้ยินเสียงนก มีสัตว์นู้นนี่เดินกันเต็มไปหมดเลยครับ คือผมจะมองหลายๆอย่างเป็นธรรมชาติ จะมองการกระทำของมนุษย์ ก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ เราไม่สามารถไปเปลี่ยนอะไรมันได้เยอะ การเข้ามาของ Covid-19 หรือการจากไปของมัน หรือการที่คนเราจะเจ็บทุกข์ได้ยาก ผมก็มองว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ ที่สุดท้ายแล้ว ไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี ผมก็เลยได้ใช้ชีวิตกับครอบครัวมากขึ้น ได้มองครอบครัวมากขึ้น อย่างการที่ได้กลับมาอยู่บ้าน ผมก็ได้แต่งเพลงกับแม่ แต่งเพลงกับน้อง ได้ปรับปรุงบ้านใหม่ ได้เลือกสีกับแม่กับน้อง ได้พูดคุยกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน หลังจากห่างหายไปนานผมก็ได้สนิทกับน้องมากขึ้น สนิทกับแม่มากขึ้น สนิทกับพ่อมากขึ้น ปกติเนี่ย พ่อผมจะไปทำงานที่ต่างจังหวัดตลอด เพราะว่าพ่อผมทำงานรถไฟ พ่อผมก็จะลงไปที่ใต้ตลอด ไปหาดใหญ่ แล้วช่วงนี้พ่อผมก็ได้อยู่บ้าน ผมก็ได้ใช้ชีวิตกับครอบครัวมากขึ้น มันก็เป็นอีกมิติในแง่ดีของช่วงนี้ครับ มันก็ทำให้เรารู้สึกว่า เราได้มองข้ามเรื่องนี้ไปเยอะเหมือนกัน เพราะว่าตอนอยู่มหาวิทยลัยเราก็จะอยู่กับเพื่อน พอมาตอนนี้เราก็เหมือนได้ Healing ตัวเอง Healing ความรู้สึก เหมือนธรรมชาติพามาให้เราได้มีกำลังใจมากขึ้น ผมก็เลยได้แต่งเพลง “บ้าน” เป็นเพลงที่ผมได้พูดถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้แหละ พูดถึงแง่ดีของการอยู่กับมัน มุมมอง ทัศนะ เพื่อที่จะให้คนฟังแล้วมีแง่บวกมากขึ้น ซึ่งผมจะเป็นคนที่เชื่อในพลังบวกมาก ถ้าเราทำอะไรแล้วเราสามารถคิดบวกได้เนี่ย มันจะดีกับตัวเอง แล้วก็ดีกับคนอื่นด้วย

เรียนรู้ชีวิตผ่านอนิเมะ ในแบบของไม้หมอน


ไม้หมอน : คือผมเป็นคนที่ชอบดูอนิเมะมาก ชอบดูหลายๆเรื่องแล้วผมจะชอบหยิบแง่คิดจากการ์ตูน หรือว่าอนิเมะเนี่ย มาใช้ในชีวิตจริง อย่างเช่นแง่คิดนึงที่ได้จากเรื่อง Black Clover ก็คือเป็นอาจารย์ที่สอน แอสต้า ใช้ดาบ เขาจะพูดประโยคนึงว่า “1 วินาที ของคนที่ไม่มีอะไรทำ กับ 1 วินาที ของคนที่มีอะไรทำ มันต่างกันมาก” แล้วผมก็ประทับใจคำคมนี้มากๆครับ ซึ่งพอผมได้ฟังแล้วมันก็จริง คือถ้า 1 วินาทีของคนที่มีอะไรทำ มันก็จะมีประโยชน์มากๆ สำหรับคนที่ไม่มีอะไรทำเลยใน 1 วินาทีนั้น มันก็ทำให้เรามีกำลังใจในการทำงานครับ ผมก็เอามาใช้เป็นแง่คิดในการทำงาน จริงๆมันมีหลายแง่คิดเลยครับในอนิเมะ คือถ้าเรามองประโยชน์ของมันได้ก็จะดีมาก ที่นอกเหนือจากความบันเทิง จริงๆมันก็เป็นอุตสหกรรมที่โตมากๆครับ อย่างใน Black Clover เนี่ย จะเป็นโลกแห่งเวทมนต์ครับ แล้วแอสต้าพระเอกในเรื่องจะเป็นคนที่ไม่มีเวทมนต์เลย เป็นคนที่สังคมเวทมนต์รังเกลียดเพราะว่าเขาไม่มีเวทมนต์ แต่แอสต้าก็ไม่ยอมแพ้ที่ตัวเองไม่มีเวทมนต์ เขาเชื่อว่าเขาจะเป็นราชาของ จักรพรรดิเวทมนต์ได้ เขาก็จะไม่ยอมแพ้ แม้ว่าเขาจะไม่มีเวทมนต์ก็ตาม มันก็ทำให้เรารู้สึกว่า ถึงเรื่องนี้เราจะยังไม่เก่ง ถึงเรื่องนี้เราจะไม่สามารถทำอะไรได้มากขนาดนั้น แต่เราก็จะไม่ยอมแพ้ ไม่ท้อ เพราะว่าบางทีการที่เราไม่มีอะไรในหัวเลย เวลาที่เราเหนื่อยมากๆ เราก็จะไม่ท้อกับมัน ซึ่งมันก็สามารถเอาไปใช้ได้ในชีวิต ถ้าเรารู้จักมองหาประโยชน์จากหลายๆเรื่อง จริงๆมันไม่ใช่แค่อนิเมะ จริงๆมันก็มีเรื่องหนังสำหรับคนที่ชอบดูหนัง แต่ผมเนี่ยชอบดูอนิเมะ ก็เลยหยิบแง่คิดจากพวกนั้นมาครับผม





Watch video :



bottom of page