top of page

แอ๊ะ ชาติฉกาจ ไวกวี | ผู้ใช้ชีวิตอยู่เหนือทฤษฎีข้ออ้างใดๆ

หลายครั้งครับ ที่ภายใต้จิตใจของเรานั้น จะคอยกระซิบบอกเราเสมอว่า พอแล้ว ไม่ไหวแล้ว หาเหตุผลขึ้นมาเพื่อรองรับความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้น แต่กลับคนบางคน ก็ใช้ชีวิตอยู่เหนือข้ออ้างใดๆ ด้วยการไม่ยอมแพ้ และลงมือทำ "แอ๊ะ ชาติฉกาจ ไวกวี" ผู้ใช้ชีวิตอยู่เหนือทฤษฎีข้ออ้างใดๆ



ความฝันของการเป็นช่างภาพของ "ชาติฉกาจ"


แอ๊ะ : ความฝันของการเป็นช่างภาพของผม คือการที่มีภาพเป็นภาพของโลก เช่น ภาพคนถูกฟาดที่ธรรมศาสตร์ที่ถูกห้อยคอ , ภาพน้องผู้หญิงที่วิ่งหนีสงครามและถูกไฟไหม้ คือผมรู้สึกว่าผมอยากจะมีแบบนั้น ซึ่งผมว่าใน Digital Era ตอนนี้ ผมคิดว่าภาพกอล์ฟ กับ ภาพพังค์ มันได้ทำหน้าที่นั้นอยู่แล้ว แต่มันอาจจะไม่ได้มีคุณค่ายิ่งใหญ่ถึงขนาดหยุดสงคราม หรือ หยุดอะไรได้ แต่ผมว่า มันก็เป็นเส้นทางที่ทำให้ผมสามารถใช้ชีวิตเป็นช่างภาพได้ในระดับนานาชาติมากกว่า คือมันก็ต้องมีใบเบิกทาง แล้วเรารู้สึกว่า Thames & Hudson เป็นสำนักพิมพ์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดอันนึงของโลกเกี่ยวกับภาพถ่าย หนังสือเล่มนี้มันไม่ได้บอกว่า 35 คนนี้เป็นช่างภาพที่เก่ง 35 คนของโลก แต่เขาพูดว่ามันเป็น 35 คนของโลกที่น่าสนใจเหตุผลของความน่าสนใจคือ 35 คนนี้ กำลังเคลมบางสิ่งบางอย่างเพื่อเป็นของตัวเองอยู่



ความง่ายที่น่าหลงไหล


แอ๊ะ : ผมชอบความง่ายครับ มันอาจจะเหมือนรูปถ่าย เหมือนวีดีโอผมอ่ะ ที่แบบเฟรมก็ง่ายอะไรก็ง่าย แต่มันมีความซับซ้อนตรงความยียวนอะไรบางอย่าง คือผมชอบความง่าย ที่ทำไมก็ทำอย่างมันไม่ได้วะ เหมือนภาพถ่ายผมที่แบบ ถ้าคนไม่ชอบก็จะบอกว่า ถ่ายอะไรก็ดูง่ายๆ ใครก็ถ่ายได้ แต่ไอคนที่บอกว่า ใครก็ถ่ายได้ กูก็ถ่ายได้ ไม่มีใครสักคนที่ยืนในจุดที่ผมยืนอยู่ และได้รับในสิ่งที่ผมได้รับ เขาเห็นตอนจบของคนไง แต่เขาไม่รู้ว่า ระหว่างทางอ่ะมันยังไง ไม่มีใครรู้ว่ากว่าที่ออกมา แล้วภาพนี้มันจะถูกคลี่คลาย มาเปลี่ยนเป็นแนวทางนี้ คือพอมันเห็นไปใกล้กับของคลาสิก มันก็.... ก็อป ก็อป ก็อป ก็อป คือคนไทยก็ประมาณนี้ แต่คือเขาไม่ได้คิดแบบ เห่ย เขาอยู่ในขั้นที่เขากำลังคิดสิ่งเดียวกับ ศิลปินคลาสิกแล้วนะเว่ย มันคนละความหมายนะ แต่มันก็อธิบายไม่ได้ มันก็ใช้แค่คนที่เขามีความรู้ มีปัญญา ที่เขาเข้าใจ เขาก็จะมานั่งคุยกันมากกว่า ส่วนคนที่เขาไม่เก็ท ที่เขาบอกว่า อ๋อ.... ภาพแบบนี้ก็อปคนนี้คนนี้มา มันก็เป็นเรื่องที่เออ เขาอาจจะรู้ประวัติศาสตร์ศิลป์มาเท่านั้น หรืออะไรอย่างนี้ครับ



เข้าเรื่อง Truly กันบ้างดีกว่าครับ


แอ๊ะ : ก็เป็นสิ่งที่ผมทำแล้วดันเป็นธุรกิจ แล้วคนชอบ มันคือการแปรสภาพของภาพถ่ายของผมอ่ะ ให้มาอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งระบบแกลเลอรี่ หลังจากที่ผมแสดงงาน ชุด Youth อ่ะ ก็ปีนี้ครบ 10 ปี พอดี หลังจากนั้นผมก็แทบไม่ได้ทำอะไรที่กรุงเทพฯ เกี่ยวกับภาพถ่ายเลย นอกจากจะมีคนมาจ้าง ที่เงินเยอะพอ ก็จะแสดงให้ แต่เราก็คิดว่าแบบ เราก็มีแฟนงานเรา ที่ชอบทั้งรูปถ่าย และก็ชอบทั้งความหมายของภาพถ่าย ที่มันอยู่ในภาพด้วย ก็เลยคิดว่า เริ่มจากการเอาภาพถ่ายที่มันมีแนวคิด มาอยู่บนเสื้อก่อนแล้วกัน ไปๆมาๆ มันก็แบบ ไม่ได้อยากทำแค่เสื้ออ่ะ มันอยากทำบ้องกัญชา ปากกา ดินสอ ของใช้ไปหมดเลย จริงๆแล้วเราก็เลย คิดว่ามันอาจจะเป็นเหมือนคนที่ร่วมแนวคิดเหมือนสัญลักษณ์อ่ะ ในอนาคตมันอาจะจะไม่ต้องมีศาสนา หรืออาจจะมีศาสนาเยอะกว่านี้ แต่ว่าศาสนาอาจจะไม่ใช่เรื่องของวัด โบสถ์ มัสยิด แต่อาจจะกลายเป็นแบบ กูเป็นคน Truly มันก็อาจจะเหมือนแบบ ศาสนาแห่งคนสู้ คนไม่กระจอก มันมีแก่นของพวกเราอยู่ เราก็จะแบบ เออ ไม่ว่าประเทศนี้มันจะเหี้ยหรือว่าห่วยยังไง เราก็จะไม่ตัดพ้อเว่ย เราจะลุย เราจะไม่กระจอก เราเห็นกันเราจะยิ้มให้กัน ไม่รู้จักกันก็เหมือนสวมหลวงพ่อองค์เดียวกัน ยิ้มกันได้ ผมเลยว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรา "เป็นมากกว่าแบรนด์ และไปเร็วกว่าแบรนด์ที่เป็นแบรนด์"



จุดแรกเริ่มเลยของ Truly


แอ๊ะ : มันคือการสั่งรองเท้าจำนวนมากมากองไว้ ถ้าคนที่ดู Truly หรือดู Chaisoro ก็จะรู้ว่า จริงๆแล้ว เจ้าของจริงๆคือผม พี่ต้า พี่ยัด ซึ่งเรากำลังจะทำรองเท้านักเรียนชื่อยี่ห้อ Kicks กัน แล้วพี่ต้า กับ พี่ยัด เขาถอนตัวระหว่างทาง ก็เลยทิ้งผมคนเดียวแล้วก็โรงงานเรียกเก็บเงินแล้ว เราก็เลยต้องเอาเงินจ่ายไปก่อน แล้วสุดท้ายเราก็เปลี่ยนจากชื่อ Kicks เป็น Truly ก็น่าจะ 3-4 แสนบาท ซึ่งก็เป็นจำนวนที่เยอะเหมือนกันในช่วงนั้น คือมันก็เยอะอ่ะ เยอะพอที่แบบ มันไม่มีใครที่แบบคิดทะลึ่ง สั่งรองเท้า 3 แสนเล่น โดยที่ยังไม่มีแผน ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่มีแผน คิดแค่แบบ คนก็รู้จักเราในระดับนึง คงสามารถขายรองเท้าได้ 700 คู่มั้ง



แล้วอย่างเรื่องการบริหารจัดการ พี่ทำมันยังไง ?


แอ๊ะ : เรื่องพวกนี้ไม่เคยมีคนถามเลย ซึ่งจริงๆแล้วเป็นหัวใจของธุรกิจ คือธุรกิจมันไม่ได้จบที่ความเฟี้ยวไง ธุรกิจมันจบด้วยตัวเลข ความหมายคือ สิ่งที่วัดผลว่าธุรกิจนั้นไปข้างหน้าได้ดีที่สุด มันไม่ใช่ยอดขาย แต่มันคือส่วนเหลือของกำไรต่างหาก Truly น่าจะเข้าปีที่ 3 หรือ ปีที่ 4 แล้ว ตอนแรกๆก็เละเทะไปหมด มีการ ถูกโกงบ้าง มีการที่เราทำพลาด มีคนโอนผิด มีคนโอนหลอก คนทำบัญชีมั่วทำมา เราก็เจอมาหมดนะครับหลังบ้าน เรามีแอดมิน 2 คน ตอนแรกแอดมินคนเดียว เป็นผมตอบ อีกคนนึง หลานผมมาช่วยตอบ จนวันนี้แอดมินอาจจะเกือบร่วม 10 คนอ่ะ สมมุติว่า คนบอกว่าอยากทำแบรนด์แบบพี่แอ๊ะ ผมก็บอกก็ต้องมีพนักงานประมาณ 15 คนอ่ะ คุณของคูณคำนวนไปว่า เงินเดือนเบรค ของการจบคือ 15,000-16,000 บาท คูณ 12 ไป แล้วคุณต้องพยุงไว้ 3 เดือน เนี่ยคุณก็ต้องมีเงินแบบนี้ แต่มันสนุกนะครับ มันทำให้ลีคเราก็โตขึ้นเรื่อยๆ ผมเองก็ต้องมานั่งอ่านดูบัญชียอดก่อนนอน ก็ยังไม่ถนัดอยู่ แต่ว่าเราเจอสิ่งที่แก้ไขความไม่ถนัดได้คือ การจ้างคนเก่งมา เด็กๆอ่ะ เรายี้ตลอดเลย วิชาบริหาร คณะการจัดการ คณะการเงิน แมร่งยี้ กูเรียนศิลปะ กูเฟี้ยวสุดเลย สุดท้ายแล้วศิลปินที่ดี ต้องพึ่งคนพวกนี้หมดเลย สมมุติว่าปีนี้กำไร 20 ล้าน 20 ล้าน ต้องเสียภาษี 2.7 ล้าน ผมเห็นประเทศเป็นแบบนี้ 2.7 ล้าน ผมไม่อยากทำไงอ่ะ ผมบริจาคโรงเรียนดีกว่า พอมันมีการเงินมา เราจะเห็นชัดเจนว่า เรามีอะไรอยู่ในมือ และเราทำอะไรได้บ้าง ผมอาจจะรู้สึกว่า ผมเอา 2 ล้านไปบริจาคโรงเรียน บริจาคโรงพยาบาลสงฆ์ ผมเห็นผลมากกว่า ฝากไว้กับรัฐบาลอ่ะ ผมรู้สึกอย่างนั้น ผมว่านี่โคตรพังค์มากเลยนะ ผมไม่ใช่คนบริหารดี ลูกน้องผมออกไปเยอะมาก ทั้งเราทำเขาเจ็บปวด ทั้งเขาทำเราเจ็บปวด คือเราก็ไม่พยายามโทษใคร แต่ว่าไอรอยแผลของการเป็นนักธุรกิจมือใหม่ มันก็ทำให้เราไม่อยากพลาดมากขึ้นเรื่อยๆ มันก็สนุกดี เราก็ได้ทดลอง คนผลัดเปลี่ยนมาหลายคน ซึ่งหลายคนก็เรียกว่า เคมีมันเข้ากับเรา หรือ ไม่เข้ากับเรา มันก็จะมีคนเก่ง ที่อาจจะเคมีไม่เข้า ซึ่งเขาไม่ได้ผิด เพียงแค่เขาพูดภาษา Truly ไม่เข้าใจ เช่นแบบ Truly มันควรจะยืดหยุ่น แต่จริงจัง เพราะว่าทุกคน มันต้องเคารพตัวเอง เช่นสมมุติ นโยบาย ปณิธานของ Truly คือ ชาว Truly ไม่กระจอก เพราะฉะนั้นพนักงานของก็ต้องไม่กระจอก


ในทุกๆ Product ของ Truly จะเห็นว่ามีการสอดแทรก เรื่องของการให้กำลังใจคน หรือสอนคน ผ่าน Product ด้วย


แอ๊ะ : ของมันต้องมีชื่อ ตอนแรกคิดแค่นั้นเอง มันอาจจะเป็นเหมือนพลังของวัตถุมงคลที่เราเรียกกันว่า ห้าว ภาษาเล่นๆ แต่เขาอาจจะมองว่ามันเป็นคำยึดเหนี่ยวใจ สมมุติว่าเรามีกระเป๋า รุ่น หนี คนเขาใส่ เขาก็จะรู้ว่า เห่ย หนีไป 2-3 วันเว่ย เด๋วกลับมาสู้ใหม่เว่ย เห่ย ใส่รองเท้า สติ ต้องมี สติ นะเว่ย คือเขาเริ่มเข้าใจ กระเป๋าแบก แบกความฝันเว่ย อะไรอย่างเนี่ย มันอาจจะเหมือนพระที่ตั้งของ รุ่นปราบมาร รุ่น รวยรวยรวย อะไรอย่างนี้



กำลังการผลิตส่งผลต่อราคาขาย


แอ๊ะ : เราก็คิดว่าเราไม่สามารถสู้กำลังการผลิต หรือการออกแบบ ได้ด้วยจำนวนของ ของที่เราผลิด เช่นสมมุติว่า เราผลิตกระเป๋ามารอบละ 500 ใบ ซึ่ง 500 ใบอ่ะ เราไม่สามารถบอกโรงงาน ในการขออนุญาต ขึ้นทรงเป็นของ Truly เอง นั้นคือสาเหตุที่ทำไมแบรนด์ถึงมีแบรนด์ที่แบบกระเป๋าทรง Jansport กันเยอะ เพราะมันเรียกว่าเป็นโมของโรงงาน โรงงานสมมุติว่า Slip on อ่ะ เขาก็จะมีเป็น Vans เป็น Converse เป็นหัว ความเป็นเจ้าของมือใหม่ อย่างคนจีนเขาจะเรียกว่า OEM ก็คือการที่แบบว่า เอาอันนี้มาแปะกับอันนี้ แล้วติดโลโก้ให้หน่อย มันก็เลยจะมีทรงแบบ Jansport เหมือน Truly ก็จะมีทรงเดียวกับแบบพวก Taichi พวกขี่มอเตอร์ไซค์ต่างๆ ซึ่งผมกำลังมองว่า ทรงอ่ะ ผมเรียกว่า มันเหมือนกันได้ แต่ไอเดียของความหมาย ที่คนจะหยิบซื้อ ผมว่าอันนี้คือสิ่งที่ไม่ควรเหมือน เรื่องนี้ไม่เคยพูดเลยนะ เรื่องกระเป๋า แบก เนี่ย ว่าทำไมเหมือน Taichi เพราะว่า เวลาเราเปิดแบรนด์ ก็จะมีคนทักมาว่าอยากเสนอ Product เราทำนี่ได้ ทำนี่ได้มาเสนอ มาถึงก็มีเป้มา 20 ทรง และก็มี Taichi นี่แหละ ซึ่งเราไม่รู้จัก ซึ่งทุกทรงเขาเอายี่ห้อออก แล้วเขาก็บอกเราว่า นี่เป็นทรงใหม่ที่เราคิดค้นขึ้นมา เราพัฒนาขึ้นมาเอง เราเห็นเราก็ชอบ แต่เราก็พัฒนา เช่น เพิ่มตรงนี้ เพิ่มตรงนี้นิดนึง ใส่คำ เปลี่ยนอะไรไม่ได้นิ เพราะว่าถ้าเปลี่ยนทรง การเพิ่มอันนี้ ต้องเสียค่าโมเพิ่มอีกหมื่นนึง ตรงนี้ห้าพัน เรารอวันที่เราจะสั่งของสักแสนชิ้น แล้วเราสร้างโมตัวเอง พอเราปั้งขึ้นมาปุ๊บ มันก็เท่เลนสรุป มีคนมาแท็กว่า มันมียี่ห้อ Taichi เราก็แบบ เกมส์ สรุปว่าไอโรงงานนั้นไม่รับโทรศัพท์ แล้วก็หนีไป มันก็เป็นแบบนี้ แต่เขาก็ได้เงินไปแล้ว แล้วของมันก็กองอยู่ที่เรา 7,000 ใบ มันมีเรื่องหลังบ้าน ที่คนที่อยากจะเห่าอย่างเดียว ด่าอย่างเดียว ไม่มีวันเข้าใจหรอก


ล้วตอนนี้ Truly ได้ขึ้นอะไรเป็นโมของตัวเองอย่างจริงจังหรือยัง


แอ๊ะ : ผมอ่ะ อยากทำมากเลยอ่ะ อยากทำ Truly ให้เหมือน Converse ที่แค่ทรงสักทรงนึง ที่ไม่แพงมากแล้วสามารถ แค่เปลี่ยนสี เปลี่ยนลายก็ยังเป็นรุ่นเดิมอยู่ ผมอยากได้ Truly Classic ขึ้นมา ผมก็พยายามมองอยู่ แต่ว่าคุณรู้ไหม ค่าทำโมรองเท้าเบอร์นึงอ่ะ เบอร์ละ 7 หมื่น อาจจะถึงแสน เพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่ารองเท้ามี 13 เบอร์ คุณก็ต้องเสียแล้ว 1.3 ล้าน เพื่อทำโมรองเท้า ซึ่งมันได้แค่เหล็กนะ เหมือนตัวปั้มวาฟเฟิลนะ เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น คนอยากให้เปลี่ยนโม คุณก็ต้องช่วยกันอุดหนุน แต่ว่าถ้าวันนึง มีคน Truly มากขึ้น แล้วเรามั่นใจว่าการสั่งรองเท้าแสนคู่มันหมด ผมสามารถทำรองเท้าขายคู่ละ 1,300 ได้เลยอ่ะ คุณมาบอกว่า โหย ถ้าราคาแบบนี้ผมไปซื้อ Vans ดีกว่า ก็ Vans มันผลิตที่ 3 ล้านคู่ไง แล้วกูผลิต 700 คู่ ทุนกูต้องเท่าไหร่อ่ะ Vans มันอาจจะผลิตคู่ละ 199 หรือ 85 บาท ก็ได้ไง เออมันมีเรื่องแบบนี้อ่ะ ที่ที่คนไม่ค่อยถาม เพราะส่วนใหญ่คนถามก็แบบ คิดอะไร แรงบันดาลใจคืออะไร ซึ่งผมก็ตอบเหมือนเขาไปหมด แต่ว่าไอแบบเนี้ย คือโคตรเป็นประโยชน์เลย



Truly World


แอ๊ะ : เรากำลังจะสร้างประเทศ ชื่อ Truly World ก็เป็น www.truly-world.com ซึ่งผมคิดว่ามันอาจจะเหมือนพวก JobsDB เหมือน Wongnai ที่เป็นแบบ สมมุติว่า คุณซื้อเสื้อ Truly 900 บาท คุณอาจจะได้ Truly Coin 2 Coin ซึ่ง 2 Coin สามารถไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านเพื่อนคนนี้ได้ 1 จาน โดยที่ Truly จะเป็นคนจ่ายเงินคืนให้เขา ผมเปลี่ยนประเทศนี้ไม่ได้หรอก และผมก็ไม่คิดจะเปลี่ยนด้วยการด่าด้วย แต่ผมคิดว่า ในกลุ่มคนที่พวกเรากำลังถืออยู่ เราเชื่อร่วมกัน ผมว่าพวกเราเปลี่ยน พวกเรากันได้ กูไม่เปลี่ยนประเทศ กูเปลี่ยนตัวเองละกัน กูเจริญขึ้น กูรวยขึ้น เฉพาะพวกกู ก็อาจจะดีขึ้น ผมก็เลยคิดว่า ไอกลุ่มนี้อาจจะเป็นกลุ่มที่แบบ หมื่น สองหมื่น สามหมื่นคน ที่ผมได้ลองจัดการประเทศของผม แล้วพอวันนึงที่เราย้ายทุกคนเข้า Truly World ทุกคนจะแบบ จะมีกินอีกแบบนึงอะไรอย่างนี้ แต่ว่า พอมาแค่นี้ก็มีปัญหา มีพ่อค้ามา มีพวกกลุ่ม มีคนที่ไม่ใช่มา แต่เขาก็ไม่ผิด เพราะว่า ทุกอย่างบนโลกมันมีช่องโหว่อยู่แล้ว เราก็แค่ศึกษาตรงนี้ เพื่อปิดช่องโหว่ เราก็พยายามสร้างมันให้เป็นสังคมมากกว่าจะเป็นกลุ่มซื้อขาย แต่ว่าซื้อขายก็ไม่ผิดหรอก คนใหม่ๆเขาก็เพิ่งมารู้จักเขาก็อยากได้ของเก่าที่มันไม่ผลิตแล้ว ก็ไม่แปลกหรอกที่คน เคยได้โอกาสในการซื้อของเก่ามา เขาจะเอามาขายเท่าไหร่ก็ได้ ผมก็ไม่ได้คิดว่า การตั้งราคาสูงมันแปลก แต่ว่ามันอาจจะผิดกุศโลบาย Truly ว่า เราอยากให้คนซื้อมาใส่ทำงาน ไม่ได้ซื้อไปเพื่อเล่น มันคนละความหมายกัน แต่ว่า ผมเป็นแครคนทำของอ่ะ คือวัดมันยังห้ามให้โจรเข้าวัดไม่ได้เลย โจรก็ยังอยากมาทำบุญ มันไม่มีใครผิดหรอก มันแค่มีแต่คนที่มันทำถูกใจเรา หรือไม่ถูกใจเรามากกว่า


มุมมองความรักในแบบชาติฉกาจ


แอ๊ะ : ผมโชคดี คือคนที่ดูแสบแบบผม คนอาจจะคิดว่าแฟนต้องแสบด้วย คือเวลาผมโดนด่า หรือลูกน้องที่ลาออกไปด่า ก็จะแบบ เมียมันเหี้ยอย่างนู้นอย่างนี้ เขาก็ต้องมารับภาระ ในความเป็นภรรยาของชาติฉกาจเช่นกัน ซึ่งเวลาเราโดนอะไร บางคนก็จะด่ามาหาแฟนเรา ซึ่งรู้สึกว่า เขาอดทนมาก แต่ถ้าพูดถึงมุมมองความรักของผม มันคือการที่เราต้องเข้าไปอยู่ในชีวิตของคนอีกคนๆนึง แหละอีกคนๆนึง ก็ต้องเข้ามาอยู่ในชีวิตเรา ซึ่งมันไม่มีใครทำอะไรถูกใจกันหรอก วันที่ผมแต่งงานเนี่ย ผมไม่มีงานแต่งนะ ผมเหี้ยมากเลยนะ ผมไปแต่งงานโดยการไปมั่วงานแต่งคนอื่นเขา คือมันมีงานทำบุญบ้านอยู่ ซึ่งพระอาจารย์ที่ผมเคารพ เขาไปทำบุญบ้านนั้นพอดี ผมก็เลยไปมั่วนิ่ม ขอว่าให้งานนี้เป็นงานแต่งผมแล้วกัน อะไรอย่างนี้ ก็ทำบุญไป พระอาจารย์พูดมาง่ายมาก สำคัญกว่าความรัก คือ ความเข้าใจ คำว่าเข้าใจ ท่านอธิบายโคตรง่ายเลย คือเข้าไปอยู่ในใจ ตอนนี้เขาเมนส์มา เข้าไปอยู่ในใจเขา เหวี่ยงหงุดหงิด เพราะฉะนั้นเราก็ต้องยอม เข้าใจว่าเขาเหนื่อยอ่ะ งั้นดูแลเขาหน่อย เขาเข้ามาอยู่ในใจเรา วันนี้เราถูกคนนี้ด่า เขาก็มากอด ปลอบประโลมเรา วันนี้เราสนุกสนาน เขาก็อาจจะเอาตัวเขาหลบไป เพื่อให้เราได้อยู่กับเพื่อนมากขึ้น ผมไม่ใช่ผู้ชายที่ดีเอาซะมากๆเลย แต่ภรรยาผมทำให้ผมอยากเป็น คนเหี้ยที่อยากจะดีขึ้นในทุกวัน



ไม่มีใครไม่เคยล้ม และไร้ซึ่งบาดแผล


แอ๊ะ : ผมคิดว่า กว่าเราจะยิ่งใหญ่ได้ เราต้องมีแผลเยอะระดับนึง ซึ่งปัญหาของคนทั่วไปที่ไม่ประสบความสำเร็จ คือ เจ็บกับแผลระหว่างทางจนไม่ไหว จนต้องยอมอยู่ตรงนั้นแหละ แล้วก็จะไปนั่งเริ่ม นั่งโทษ นั่งอ้าง แต่ผมรู้สึกว่า ผมเจอแผลอีกล่ะ อ่ะมึงแทงกูต่อมา เด๋วกูจะรักษาตัวเอง แล้วเด๋วกูก็จะไปต่อ ผมไม่อยากเป็นลูกจ้างใคร แต่ผมอยากเป็นเจ้านายที่ดูแลลูกจ้างดีๆนะ ซึ่งอาจจะดีบ้าง ไม่ดีบ้างก็แล้วแต่ เพราะว่าเราเป็นมนุษย์ ช่วง 4-5 ปีนี้ เป็นช่วงที่มีแผลเยอะมาก แล้วมันก็ไม่ได้หลับสบายนะ มันมีการบริหารจัดการ ที่เราจะต้องเติบโต เป็นเจ้าสัว ในอุดมคติเรา เราก็เลยคิดแบบ โอโห ไอพวกเจ้าของบริษัท นั้นๆๆ มันต้องผ่านอะไรมาบ้างวะ คือตอนนี้ผมสนุกกับการผ่าน ถามว่าปัญหามันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นทุกวัน พอมาเป็นเจ้าของเนี่ย มันมีอีกตำแหน่งนึง ที่ผมเชื่อว่าหลายๆคนทิ้งระหว่างทาง คือ อาชีพนักแก้ปัญหา ผมถามเด็ก ที่ inbox มาทุกวันเลย พี่ผมอยากเป็นแบบพี่ พี่ผมอยากทำรายการ พี่แนะนำผมหน่อย พี่ผมอยากทำแบรนด์เสื้อ สมมุติทำแบรนด์เสื้อ ผมก็ถามเขาว่า ถ้ามีเสื้อกองอยู่ในห้องของคุณอ่ะ 1,000 ตัว แล้วขายไม่ออกสัก 2 เดือน คุณจะทำยังไงต่อวะ? นั่นอ่ะคือ ทุกคนคิดว่าแมร่งสวยหรูไปซะหมดไง ว่าแบบ ถ่ายรูปเอามาทำลายเสื้อ แต่มึงไม่รู้หรอกว่ากว่ากูจะขายเสื้อได้ 2 หมื่นตัว กูประชุมกันขนาดไหน กูวางแผน เอาปฎิทินมาว่างว่าวันไหนควรพูดสเตตัสเรื่องอะไร ผมสนุกนะ เวลาพูดเรื่องปัญหาแบบนี้สนุก คนไม่คิดหรอกว่าเรื่องเล็กๆต้องทำยังไงอ่ะ สมมุติว่าเราขายดีมากเลย อ๋อ มีเรื่องบ๊องๆอยู่ คือขายดีมาก แพ็คของ วันนี้แพ็คของไม่พลาด กล่องรองเท้าเต็มเลย อยากส่งมาก แต่รถของไปรษณีไทยยัดได้แค่ 60 กล่อง แต่เราต้องส่ง 600 กล่อง แล้วทำยังไง? ก็ต้องกลายเป็นทยอยส่ง 10 วัน หรือต้องยกไปไปรษณีกันคืนนี้ เนี่ย มันเบื้องหลังอ่ะ แต่คนทุกคนก็มาเห็น พี่แอ๊ะเฟี้ยว พี่แอ๊ะพังค์ พี่แอ๊ะแมร่งมันส์ อยากเป็นมากเลย อะไรอย่างเนี่ย แต่เขาไม่รู้หรอก ว่ามันไปถึงตรงนั้นยังไง เพราะฉะนั้นผมก็จะบอกทุกคนว่า ไอสิ่งที่ผมควรได้ทุกวันเนี่ย ที่ผมมีอยู่ทุกวันเนี่ย มันคู่ควรกับที่ผมควรได้ทุกอย่างแล้ว "เพราะผมลงมือทำ"


คงไม่มีเด็กคนไหนเกิดมาแล้วไม่เคยหกล้ม และคงไม่มีใครที่ไม่เคยมีแผลจากช่วงเวลาที่ลำบาก อยู่ที่ว่าการลุกขึ้นมาในแต่ละครั้งนั้น เราเรียนรู้กับมันมากน้อยแค่ไหน และนี่คือบทสรุปของผู้ชายที่ไม่เคยยอมให้ข้ออ้างใดๆ มีผลต่อชีวิตของเขาเลย เป็นนักสู้ที่ต่อสู้และเดิมพันด้วยชีวิตทั้งชีวิต แอ๊ะ ชาติฉกาจไวกวี



Watch video :






bottom of page