top of page

เล่าความทรงจำ ผ่านความรู้สึก ที่ซื่อสัตย์ "ชาติ สุชาติ"

บางคนบันทึกความทรงจำด้วยด้วยการเขียน ด้วยภาพถ่าย ด้วยเสียง ผ่านอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อรอวันที่จะกลับมาเปิดอ่าน เปิดดู เพื่อให้รู้สึกกับมันอีกครั้ง ให้นึกถึงเรื่องราวต่างๆ แต่กับบางคนก็เลือกที่จะลบมันทิ้งไป เพราะไม่อยากที่จะจดจำมันอีกต่อไปแล้ว แต่สิ่งที่อัศจรรย์ที่สุดในการเก็บข้อมูล มันกับไม่ใช่ Memory Card ยี่ห้อหรูที่ไหนเลย แต่มันเป็นความรู้สึกของเราเองนั่นแหละ ที่ต่อให้พยายามลืม แต่มันก็ยังคงจะรู้สึก และคิดถึงมันเสมอ และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแล้วก็ตาม มันจะถูกเก็บไว้อย่างดีในรูปแบบของความทรงจำ พูดคุยกับ ชาติ สุชาติ ผู้ที่หลีกเลี่ยงความเท่บนบทเพลง สู่การเขียนเพลงที่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง





ไม่ได้เจอกันนานเลย ช่วงนี้เป็นไงบ้างครับ ?

ชาติ : ตอนนี้ไม่ได้ทำอะไรเลยครับ ก็อยู่บ้านครับ ปกติก็เปิดบาร์ครับ กับเล่นดนตรี ซึ่ง 2 อย่างนี้ก็ตัดออกไปครับ จะมีช่วงนี้ขายอาหารออนไลน์ด้วย อันนี้ก็ทำมาเพื่อเลี้ยงชีพ ที่เหลือก็นอน ดูหนัง ฟังเพลง เรื่อยๆครับ เรื่อยๆ มันต้องหาความสุขไปเรื่อยๆอ่ะครับ ความสุขประจำวัน พอเราเริ่มหมดกิจกรรม เราก็ต้องหากิจกรรมมาทำให้ตัวเองดูไม่ไร้ค่าครับ ใช้ความว่างให้เป็นประโยชน์

การอยู่กับสิ่งต่างๆเหล่านี้ มีผลไหม ที่ทำให้เกิดงานเพลงใหม่ๆ

ชาติ : ผมคิดยังงี้ครับ ว่าหนัง หนังสือ และเพลงเนี่ย มันเป็นองค์ประกอบของศิลปะอยู่แล้วอ่ะครับ ที่ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพอะไรที่เกี่ยวกับอย่างใดอย่างหนึ่งในนี้ อย่างเช่นว่า คนทำหนังเนี่ย ผมว่าก็ต้องฟังเพลง เป็นคนเขียนหนังสือก็ต้องดูหนัง คือมันอยู่ในองค์ประกอบของศิลปะอ่ะครับ อย่างผมทำเพลง ผมอาจจะไม่ได้หยิบเนื้อเรื่องของหนังมาหรอก อาจจะไม่ได้หยิบเนื้อเรื่องของหนังสือมาหรอก แต่สิ่งที่ได้คือภาพครับ ภาพมันฝังอยู่ในหัวเรา หรือว่ามุมกล้อง สีภาพ หรือถ้าเป็นหนังสือก็อาจจะเป็นคำเขียน วิธีการใช้คำของเขา ผมว่าเหล่านี้มันเป็นองค์ประกอบที่เป็นข้อมูล อาจจะไร้สาระก็ได้ ที่ขังเอาไว้ในหัวไว้ก่อน เวลาเราฝันเราอาจจะฝันถึงมันก็ได้ ซึ่งผมเป็นคนเขียนเพลงโดยการเห็นภาพมาก่อนด้วยครับ อาจจะเป็นเพราะว่าชอบดูหนังด้วย พอเห็นภาพแล้วมันจะมีคำนิยามให้กับภาพๆนั้น มันสามารถเป็นบทสรุปของเพลงเราสักก้อนนึง แล้วจะแบบว่า “โอเค ทิศทางเพลงเราจะประมาณนี้เว่ย” เดี๋ยวต่อไปจะไปดูคอร์ด ว่าคอร์ดควรใช้อะไร จริงๆมันก็คือสิ่งที่โยงกันหมดเลยครับ ด้วยศิลปะ




เพลงส่วนใหญ่จึงเกิดจากประสบการณ์จริง ?

ชาติ : เพราะว่าเรื่องจริง มันมีมวลหรือว่าอารมณ์ของการไม่ได้หลอกอ่ะ เราเห็นแววตาชัดๆ เราเห็นวิธีการเล่าชัดๆ เราเห็นความรู้สึกของเขาชัดๆ เราเลยรู้สึกว่า “กูพอเข้าใจมึงวะ ว่ามันเป็นยังไง” หรือบางเรื่องจะแบบ “กูเข้าใจเว่ย แต่กูลืมไปละในวัยนี้” คือแบบเคยเข้าใจ อันนี้ยิ่งง่ายเลย แต่ในกรณีของการที่เราพอเข้าใจเนี่ย เราก็ต้องจินตนาการต่อในห้องคนเดียวว่า ต้องเป็นลักษณะประมาณนี้ ทัศนคติที่เรามีต่อเรื่องของเขามันเป็นอย่างนี้ ก็เอามาเขียนได้อยู่ครับ

แสดงว่า เพลง ข้างเดียว ก็มาจากประสบการณ์จริง ?

ชาติ : ใช่ครับ เพลง ข้างเดียว มาจากเรื่องของเพื่อนครับ คือ ข้างเดียว เป็นเพลงที่มี ผู้ให้ และมี ผู้รับ และเมื่อผู้รับเขาไม่รับ ผู้ให้ก็ต้องเสียใจ คือมันเป็นเรื่อง Basic ของโลกใบนี้มากอ่ะ และผมก็พยายามเขียนให้มันซื่อสัตย์ที่สุด โดยการไม่แต่งเติมอะไรที่มันเท่ เข้าไปในความจริงนั้น เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมเขียนในแบบที่ผมไม่เคยเขียนมาก่อน ย้อนไปเมื่อปีสองปีที่แล้ว ผมแต่งเพลงไม่ได้เลย คือผมแต่งเพลงทุกวันนะ แล้วมันได้เพลงทุกวัน แต่ผมไม่ชอบสักเพลง เพราะมันไม่มีความจริงอยู่ในนั้นเลย ผมเลยรู้สึกว่าไม่อยากปล่อย แต่เพลงนี้ ผมอ่านทุกบรรทัดแล้วแบบว่า ถ้าเพื่อนคนนั้นได้ฟัง มันต้องรู้สึก คือการแต่งเพลงจากความจริงมันจะมีเป้าหมายครับ เป้าหมายคือ ถ้าคนลักษณะที่เจออาการอย่างนั้นอยู่ ได้ฟัง เขาจะอินกับมันไหม ผมก็วางไว้แบบนั้นเหมือนกันครับ

เคยมีประสบการณ์ ข้างเดียว เหมือนเพลงที่เขียนไหม ?

ชาติ : เคยแอบชอบ มีแอบชอบแหละ และก็ไม่เป็นไปไม่ได้ แต่ในวัยนึงนะ ที่เด็กกว่านี้ และก็ยังจำความรู้สึกนั้นได้อยู่ ว่ามันทำได้แค่นั้นจริงๆ ซึ่งจริงๆที่เขียนมามันก็มีรวมกับเรื่องของผมด้วยแหละ มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่มีชนวนความรู้สึกของเราเลย แล้วเอาแต่เขียนเรื่องคนอื่น มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะสวมรอยแบบดิบๆ คือมันต้องมีความทรงจำครับ ซึ่งความทรงจำก็เป็นส่วนหนึ่ง ในความสำคัญของการเขียนเพลงเหมือนกันครับ ไม่ว่าเราจะไม่รู้สึกในปัจจุบันแล้วก็ตาม มันก็ยังสามารถเข้าใจคนที่เป็นอาการนั้นอยู่ ผ่านความทรงจำเก่าๆของเรา




วิธีการทำงานเป็นยังไงครับ เริ่มยังไงเพลงนี้

ชาติ : ก็ทำ Demo จากที่บ้านครับ ตอนนึกเพลงออก นึกออกในรถอีกแล้วครับ ส่วนใหญ่จะนึกออกในรถ ตอนที่ผมเคลื่อนที่ ผมไม่ได้บอกว่ามันเป็นงานที่ดีนะ แต่มันเป็นงานที่ผมชอบ แล้วก็ซื่อสัตย์ที่สุดนะ มันจะไม่ได้จากในห้องอ่ะครับ มันจะได้จากตอนที่ผมเคลื่อนที่ แล้วก็พยายามลืมมันอ่ะ เวลาที่ผมลืมเรื่องการทำเพลงไปแล้ว สิ่งที่เข้ามาจากตอนลืมจะดีเสมอเลยครับ แปลกมากๆ อันนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์มาก แต่เมื่อไรที่เราได้โจทย์แล้วจะเขียนเรื่องนี้ให้ได้ มักจะเป็นคำที่แบบ ส่ายหัว ไม่ได้วะ แล้วทีนี้พอได้เนื้อเพลงมา เราก็จำเนื้อเพลงมาใส่คอร์ด แล้วก็เริ่มบันทึกในโปรแกรม ขั้นตอนการบันทึกก็ตามอารมณ์เลยครับ อย่างวันนี้เราจะเอากลองให้ได้ก่อน ก็อัดกลองให้เสร็จ พอกับคอร์ดซึ่งคอร์ดผมก็มีในหัวแล้วอ่ะนะ เหนื่อยๆก็พัก แล้วค่อยมาใส่กีต้าร์ คือไม่ได้ทำงานโดยเคร่งครัดอะไร มันก็เติมไปเรื่อยๆ วิเคราะห์ไปเรื่อยๆ ว่าตอนนี้สีมันจัดเกินไปหรือเปล่า หรือสีมันน้อยไปหรือเปล่า ตรงไหนคือตรงกลางของเพลงนี้ ความสมเหตุสมผล Melody ท่อนนี้ได้หรือยัง ถ้าเล่นสดจะดีไหม ถ้าเล่นสดแล้วจะร้องไหวไหม มันก็คำนวณหลายอย่างอยู่ จากที่เมื่อก่อนผมไม่ค่อยคำนวณอะไรเลย ผมจะกางกระดาษเขียนทุกอย่างที่ผมนึกออกโดยที่ไม่กลั่นกรอง ก็ประมาณนั้นครับ ก็ส่งให้ โปรดิวเซอร์ ต่อครับ





การเดินทางด้วยอัลบั้มเพลง ในแบบของ ชาติ สุชาติ

ชาติ : ในมุมมองผมนะ ผมคิดแบบไม่ได้มองเป็นอัลบั้ม จริงๆตอนนั้นผมเพิ่งเข้ามาในวงการนะครับ มันเลยเป็นเรื่องของการทำเพลงออกมาเรื่อยๆ ไม่ได้คิดจะรวมอัลบั้มเลย แล้วพอมารวมอัลบั้มเนี่ย มันก็จะมีปัญหานึง คือมันจะไม่ได้เป็นอัลบั้มที่กลมที่สุด แบบว่า “เห่ย ทิศทางเพลงมันจะต้องไปในทิศทางเดียวกันหมด” แต่มันเป็นการเอาเพลงที่เรานึกออกในวัยนั้น มารวมกันเป็นอัลบั้มครับ ซึ่งผมไม่ได้มองว่ามันไม่ดี ผมมองว่ามันเป็นประสบการณ์นึง ที่จะทำให้เราทำอัลบั้ม 2 อย่างเข้าใจมากขึ้นอ่ะครับ ว่าการทำอัลบั้มมันต้องทำแบบนี้นะ มันไม่ได้คิดแบบนั้น วิธีคิดมันจะต้องคิดมาแต่แรกแล้วว่าจะวางอะไร อย่างอัลบั้มนี้ผมก็เริ่มจะวางแล้ว ผมทำเพลง ข้างเดียว ออกมาเนี่ย ผมเริ่มจะวางแล้วว่า เพลง ข้างเดียว ควรอยู่เพลงที่เท่าไหร่ของอัลบั้ม และเพลงแรกควรเป็นเพลงอะไร เพลงที่สาม เพลงที่สี่ ควรเป็นเพลง Mood ประมาณไหน คิดถึงดนตรีก่อนล่ะ แล้วควรทำกี่เพลง ก็คือทั้งหมดยังอยู่ในกระบวนการคิดครับตอนนี้ แต่เชื่อว่าน่ากลมขึ้นจากอัลบั้มแรกครับ


สุดท้ายแล้วอยากให้ไกด์หน่อยครับ แนะนำสำหรับมือใหม่ที่อยากจะเริ่มเขียนเพลง

ชาติ : การเขียนเพลงของผมมาจากความรู้สึกเป็นหลัก พอเรามีความรู้สึก มันก็จะโยงไปหาจนเจอว่า ประเด็นนั้นคืออะไร แล้วพอเจอว่าประเด็นคืออะไร ผมก็เขียนได้เลย แต่มันก็จะมีส่วนของการมองออกไปแล้วก็ กระทบนั่นกระทบนี่ แต่ผมจะเห็นเป็นการเปรียบเปรยซะมากกว่า อย่างเช่นผมเห็นขวดน้ำ ผมเห็นต้นไม้ ผมจะไม่ได้หยิบต้นไม้มาเป็นประเด็นหลัก แต่ผมจะเอาต้นไม้มาเป็นเรื่องเปรียบเทียบกับเรื่องหลักที่ผมจะเขียน เพราะฉะนั้น มันย่อมมีประโยชน์ทั้งหมด เหมือนเราเห็นหลังคา ผมก็จะหยิบคำเปรียบเปรยได้แล้ว ว่าหลังคามันสามารถเป็นอะไรได้บ้าง ในเรื่องหลักที่เราจะเล่า และควรอยู่ตรงไหน หรือควรอยู่ไหม หรือควรมีไหม เพราะผมไม่ได้มองออกไปแล้วโฟกัสว่าจะต้องเอามันมาให่ได้ ผมแค่มองออกไปแล้วก็จำไว้โดยที่ไม่รู้ตัวว่ามันจำ ผมว่าอย่างนี้ดีกว่า วิธีการของผมคือ "มีความรู้สึก จับประเด็น และเขียน"




Watch video :



bottom of page