"เพลงเพื่อชีวิต" ยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน

ทศวรรษ 2480 คือจุดกำเนิดเพลงไทยสากลในแนว “เพลงชีวิต” และเพลงเสียดสียั่วล้อสังคม นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ “ศิลปิน” มีบทบาทสะท้อนภาพความทุกข์ยากของผู้คน การโกงกินของผู้แทน , นักการเมือง ออกมาในบทเพลงของเขา โดยมีสภาพสังคมระหว่างสงครามและหลังสงครามเป็นปัจจัยเกื้อหนุน
แนวเพลงชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นโดยมีรากฐานของแนวเพลง “ลูกทุ่ง” ซึ่งถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ ช่วงหลังปี 2500 อันเป็นแนวเพลงที่มุ่งเน้นสะท้อนสภาพสังคมด้วยภาษาลีลาที่เรียบง่าย กินใจ ไม่ต่างจากแนวเพลงชีวิตที่ แสงนภา บุญราศรี บุกเบิกไว้ เพียงแต่ต่อมาเพลงลูกทุ่งได้พัฒนาแนวเนื้อหาไปอย่างหลากหลาย หากแต่รากฐานเดิมนั้นเล่า คือการสะท้อนภาพสังคมของชนชั้นล่างโดยเฉพาะชาวนาชาวไร่ในชนบท อย่างจริงใจ และตรงไปตรงมา
เมื่อพูดถึง เพลงเพื่อชีวิต เรามักจะนึกถึงเหตุการณ์บ้านเมืองสมัย 14 ตุลาคม 2516 ถึง 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งเป็นช่วงที่บทเพลงเพื่อชีวิตในแบบของปัญญาชนได้ถือกำเนิด และทำหน้าที่ของมันจนถึงขีดสุด กระทั่งสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญๆ ทางการเมืองในยุคสมัยนั้น

เพลงเพื่อชีวิต นั้นมีผู้กล่าวว่า “หมายถึงเพื่อชีวิตที่ดีกว่าของประชาชน” จริงอยู่การเปลี่ยนแปลงของสังคมในอดีตนั้นเกิดขึ้นจากสาเหตุหลายประการ แต่คงไม่มีใครปฏิเสธว่าเพลงเพื่อชีวิตและกลุ่มศิลปินเพลงในอดีตก็มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย
ปี พ.ศ.2514 รัฐบาลสมัยนั้น ซึ่งเป็นการสถาปนาอำนาจของกลุ่มครอบครัวกิตติขจร และครอบครัวจารุเสถียร ได้ทำการรัฐประหารตัวเองเพื่อตรึงอำนาจของตัวเองอย่างแน่นหนา โดยให้ จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นผู้ถือครองอำนาจเผด็จการ และให้ จอมพลประภาส จารุเสถียร คุมกระทรวงกลาโหมและมหาดไทย รวมทั้งประมวลข่าวกรอง กอ.รมน. และให้ลูกเขย พันเอกณรงค์ กิตติขจร มีบทบาทอย่างสูงในวงการเมืองช่วงนั้น
สถานการณ์บ้านเมืองในตอนนั้นเป็นบรรยากาศของเผด็จการทหารสมบูรณ์แบบ การแสดงออกทางความคิดเห็นของนักศึกษาปัญญาชนและประชาชนทั่วไป ถูกจำกัดแม้กระทั่งในมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นแหล่งผลิตบัณฑิตผู้มีความรู้ก็ไม่ได้รับการยกเว้น การปกครองด้วยกฎอัยการศึกของรัฐบาลทหารได้สร้างความอึดอัดคับข้องใจในหมู่ประชาชน บ้านเมืองคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวของคอร์รัปชั่น

จนมาถึงช่วงที่รัฐบาลเผด็จการทหารประกาศใช้รัฐธรรมนูญฯ ซึ่งมีแต่การแต่งตั้งสภานิติบัญญัติเพียงสภาเดียว และออกประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 299 ความไม่พอใจของประชาชนก็ปะทุขึ้น นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ร่วมกับศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) ได้ทำการประท้วงคัดค้าน จนต้องมีการประชุมยกเลิกประกาศฉบับนั้น เหตุการณ์นั้นเองที่นับเป็นชัยชนะครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของขบวนการนักศึกษา

ปี พ.ศ.2516 สถานการณ์บ้านเมืองยังไม่กระเตื้องขึ้น ซ้ำยังเกิดเหตุการณ์กรณี “ทุ่งใหญ่” ที่จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งสะท้อนให้เห็นความเหลวแหลกของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่ใช้เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ของทางราชการพาดาราสาวไปเที่ยวล่าสัตว์ในป่าทุ่งใหญ่นเรศวร เมื่อเครื่องบินลำดังกล่าวตกจึงพบซากสัตว์ป่าที่ถูกล่ามากมาย เป็นผลให้สื่อมวลชนและนักศึกษาร่วมมือกันตีแผ่เปิดโปงการกระทำผิดกฎหมายของฝ่ายราชการ โดยได้รับความสนใจจากประชาชน ภาพลักษณ์ของรัฐบาลได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก

สุรชัย จันทิมาธร ศิลปินเพลงเพื่อชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ ถือกำเนิดบทบาทของการเป็นศิลปินเพื่อชีวิตขึ้นมาในเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาเป็นผู้ที่อยู่ร่วมในการประท้วง คอยแต่งบทกลอนต่างๆ ส่งให้โฆษกบนเวทีอ่านให้ประชาชนฟัง เพื่อปลุกเร้ากำลังใจและรวบรวมความคิดให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และเขาได้แต่งเพลง “สานแสงทอง” โดยเอาทำนองมาจากเพลง FIND THE COST OF FREEDOM ของวงดนตรี Crosby Stills Nash and Young เนื้อร้องมีอยู่ว่า
“ขอผองเราจงมาร่วมกัน ผูกสัมพันธ์ยิ่งใหญ่
สานแสงทองของความเป็นไทย ด้วยหัวใจบริสุทธิ์”
บทเพลง สานแสงทอง เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยบทเพลงสู้ไม่ถอยนั้นเป็นเพลงมาร์ชปลุกใจที่ใช้ในการรวมพลังประท้วง ส่วนเพลงสานแสงทองเกิดจากความคิดคำนึงถึงเสรีภาพของประชาชน และนี่คือจุดกำเนิดของบทเพลงเพื่อชีวิตนั่นเอง
การประท้วงครั้งนั้นประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังไม่สามารถลดอุณหภูมิความไม่พึงพอใจในการปกครองของรัฐบาลเผด็จการทหารได้ เนื่องจากสถานการณ์ของบ้านเมืองขณะนั้นอยู่ในสภาพย่ำแย่ เต็มไปด้วยปัญหานานาประการทั้งทางเศรษฐกิจ ปัญหาชาวนา กรรมกรรถไฟ แหล่งเสื่อมโทรม และการคอรัปชั่น
หลังการประท้วงครั้งนั้นไม่นาน ได้มีนักศึกษาและประชาชนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันเรียกว่า “กลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญ” ทำการแจกใบปลิวและหนังสือเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน ที่สุดพวกเขาทั้ง 15 คน ถูกจับกุมในข้อหาว่าเป็นกบฏและมีการกระทำเป็นคอมมิวนิสต์

จุดเริ่มต้นเล็กๆนี้ นำไปสู่เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ของเมืองไทยซึ่งไม่มีใครคิดมาก่อน องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ จับมือผนึกกำลังกันเคลื่อนไหว โดยใช้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นศูนย์กลางการชุมนุมได้รับความร่วมมือจากประชาชนทุกฝ่ายซึ่งมองเห็นว่ารัฐบาลทำเกินกว่าเหตุ กระทั่งในที่สุด ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) ได้ยื่นคำขาดให้รัฐบาลปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้งหมดภายในเที่ยงวันที่ 13 ตุลาคม 2516 แต่รัฐบาลบอกปฏิเสธ
ดังนั้น คลื่นนักศึกษาประชาชนนับแสนๆ จึงเคลื่อนตัวออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มุ่งไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและลานพระบรมรูปทรงม้า และแล้วความผิดพลาดก็เกิดขึ้นเมื่อการสื่อสารระหว่างตัวแทนนักศึกษาที่เข้าเจรจากับฝ่ายรัฐบาลขาดการติดต่อกับตัวแทนที่ทำหน้าที่กุมสถานการณ์มวลชน การชุมนุมประท้วงจึงดำเนินต่อไปจนล่วงเข้าสู่วันใหม่ แม้ว่ารัฐบาลจะมีคำสั่งปล่อยตัวนักศึกษาปัญญาชนที่ถูกควบคุมตัวแล้วก็ตาม
แล้วที่สุดก็เกิดการปะทะต่อสู้กันระหว่างตำรวจทหารกับประชาชนในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 เจ้าหน้าที่ยิงก๊าซน้ำตาเข้าใส่ผู้ชุมนุมประท้วง สถานการณ์ลุกลามขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นสงครามกลางเมืองสถานที่ราชการหลายแห่งถูกประชาชนเผาทำลาย ชีวิตเลือดเนื้อจำนวนมากถูกเข่นฆ่า นับเป็นความเสียหายร้ายแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติไทย เพราะเหตุว่าคนไทยทำต่อคนไทยด้วยกันเอง

เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ยุติลง เมื่อผู้เผด็จการทั้งสามหนีออกนอกประเทศ และ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงแต่งตั้ง นายสัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน
รัฐบาลภายใต้การนำของ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นรัฐบาลพลเรือนที่สนับสนุนบทบาทของนักศึกษาในเรื่องประชาธิปไตย โดยให้สิทธิเสรีภาพแก่ทุกผู้คนอย่างเต็มที่ กระทั่งทำให้เกิดมีความโน้มเอียงไปในทางที่นักศึกษาสนับสนุนลัทธิสังคมนิยมกันอย่างแพร่หลาย อาทิ มีการจัดนิทรรศการจีนแดง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการชี้นำลัทธิคอมมิวนิสต์ ทั้งๆที่ประชาชนในเวลานั้นยังไม่ยอมรับ มีกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ลัทธิของ มาร์กซ-เลนิน นำเสนอประเด็น ศิลปะเพื่อชีวิต ศิลปะเพื่อประชาชน ฯลฯ ได้รับการ เปิดเผยสู่สายตาของนักศึกษาและประชาชนอย่างกว้างขวาง
เรื่องราวเกี่ยวกับผู้นำความคิดทางการเมืองหลายคน ซึ่งเป็นบุคคลต้องห้ามในอดีต เช่น จิตร ภูมิศักดิ์, กุหลาบ สายประดิษฐ์ ฯลฯ ได้รับการกล่าวขานถึง แตกหน่อเป็นความคิดใหม่ๆ เกี่ยวกับสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนิสิตนักศึกษาที่กำลังแสวงหาแนวทางเพื่อชีวิตใหม่ที่ดีกว่าชีวิตในสังคมเก่า แนวคิดต่างๆ ที่กล่าวมา ได้ถูกเผยแพร่ออกมาคล้ายกับเพลงเพื่อชีวิตที่ประท้วงสงครามเวียดนามในสหรัฐอเมริกา

วงดนตรีเพื่อชีวิตวงแรกที่สร้างความประทับใจให้แก่คนรุ่นนั้นเป็นอย่างมาก คือวงดนตรี “คาราวาน” ซึ่งถือว่าเป็นวงดนตรีเพื่อชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอดีต…
สุรชัย จันทิมาธร นักเขียนหนุ่มผู้มีนามปากกาว่า “ท.เสน” กับ วีระศักดิ์ สุนทรศรี เจ้าของนามปากกาว่า “สัญจร” ทั้งสองเป็นเพื่อนร่วมกิจกรรมการประท้วงมาตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม ได้ร่วมกันก่อตั้งวงดนตรี “ท.เสนและสัญจร” เพื่อร่วมแสดงดนตรีในการชุมนุมประท้วง คนทั้งสองร่วมกันแสดงดนตรีในงานนิทรรศการเพลงเพื่อชีวิต โดยเล่นเพลง คนกับควาย เปิบข้าว และ ข้าวคอยฝน ซึ่งถือเป็นความแปลกใหม่ทางดนตรีต่างจากดนตรีทั่วไปในขณะนั้น ที่มีเพียงวงดนตรีสุนทราภรณ์ , สุเทพ วงศ์กำแหง และ สวลี ผกาพันธ์ ครองใจผู้ใหญ่ และวงดนตรี ดิ อิมพอสซิเบิล ครองใจวัยรุ่น

วงดนตรีคาราวานเป็นจุดเริ่มต้นการขยายตัวของดนตรีเพื่อชีวิต พวกเขาสร้างสรรค์ผลงานเพลงมากมาย โดยการเข้าร่วมกับขบวนการนักศึกษา ความโด่งดัง และความสามารถในเชิงดนตรีของพวกเขาส่งผลให้บทเพลงเพื่อชีวิตสามารถเปิดการแสดงร่วมกับวงดนตรีในเชิงธุรกิจได้ ไม่ว่าจะเป็นผลงานแผ่นเสียงแถบบันทึกเสียง หรือเปิดการแสดงตามโรงภาพยนตร์ ซึ่งก็ทำรายได้ให้แก่พวกเขาพอสมควร
ผลงานชุดแรกของคาราวานชื่อ “คนกับควาย” มีเนื้อหาสาระสะท้อนความทุกข์ยากของชาวนา และชุดที่สองชื่อ “อเมริกันอันตราย” เป็นบทเพลงต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมอเมริกา

ปี พ.ศ.2517-2519 เพลงเพื่อชีวิตได้รับความนิยมสูงสุดในแวดวงนิสิต นักศึกษา ปัญญาชน วงดนตรีเพื่อชีวิตหลายวงเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ แต่ละวงมีลีลาการแสดงออกที่แตกต่างกัน พวกแรกเป็นพวกที่มีท่วงทำนองลีลาผสมผสานตะวันออกกับตะวันตก ใช้เครื่องดนตรีอคูสติค เช่น กีตาร์ ไวโอลิน ซึง ฮาโมนิก้า และเครื่องดนตรีเคาะจังหวะ ได้แก่ คาราวาน , คุรุชน , กงล้อ , รวมฆ้อน , โคมฉาย ส่วนอีกพวกหนึ่งจะใช้เครื่อง ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์บรรเลง เพื่อปลุกเร้าให้เกิดความคึกคัก เช่น กรรมาชน, รุ่งอรุณ และ ไดอะเล็คติค และอีกพวกหนึ่งจะมีท่วงทำนองเพลงไทยเดิมและพื้นบ้านประยุกต์ ได้แก่ ต้นกล้า และ ลูกทุ่งสัจธรรม ฯลฯ
เพลงเพื่อชีวิตในยุคนั้นมีมากกว่า 200 เพลง เนื้อหาทั้งหมดครอบคลุมกิจกรรมที่พวกนักศึกษาปัญญาชนเข้าไปเกี่ยวข้อง โดยสรุปบทเรียนจากสถานการณ์บ้านเมือง และอิงเนื้อเรื่องและบทกวีจากนักคิดนักเขียนรุ่นเก่าๆ เนื้อหาทั้งหมดคาบเกี่ยวระหว่างการสะท้อนปัญหาบ้านเมืองกับการแสดงออกซึ่งอุดมคติในการสร้างสรรค์สังคมใหม่ โค่นล้มอำนาจรัฐ ชี้นำอุดมการณ์สังคมนิยมซึ่งนักศึกษายุคนั้นเชื่อว่าสามารถแก้ไขความเสื่อมทรามของสังคมได้ ดังนั้น จึงเรียกร้องให้มีการจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับรัฐบาลที่อยู่ภายใต้การครอบงำของจักรวรรดินิยมอเมริกา

มีบทเพลงหนึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ชื่อเพลง “นกสีเหลือง” เป็นที่นิยมร้องกันแพร่หลาย เนื้อหาสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของยุคสมัยได้เป็นอย่างดี
ระหว่างปี พ.ศ.2516-2519 สถานการณ์บ้านเมืองวุ่นวาย สับสน และทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่างความคิดลัทธิความเชื่อ ประเทศไทยเปลี่ยนคณะรัฐบาลหลายครั้งในชั่วเวลาเพียงสามปี นักศึกษาถูกทำให้มองว่าเป็นพวกก่อความวุ่นวายให้แก่สังคม ขณะที่พวกฝ่ายขวาก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อสกัดกั้นและต่อต้านนักศึกษาในทุกวิถีทาง
ขณะนั้นวงดนตรีคาราวานกำลังเปิดการแสดงร่วมกับผู้ชุมนุมประท้วงในจังหวัดขอนแก่น เมื่อได้ทราบข่าวก็หยุดการแสดง หลบหนีการล่าสังหารไปพร้อมกับเพื่อนนักดนตรีจากวงโคมฉาย รวม 11 คน เดินทางมุ่งสู่ป่าเขา
จากต้นทางไกลโพ้น “เพลงเพื่อชีวิต” ก่อรูปเป็นขบวนการทางศิลปะท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยของนักศึกษาประชาชนไทย เป็นเครื่องมือทางวัฒนธรรมขับขานบอกเล่าความจริงในสังคม เพื่อมวลมหาประชาชนคนทุกข์ยาก บรรเลงต่อเนื่องไม่ขาดสาย บันทึกภาพลักษณ์ทางสังคมเข้าไว้หลากหลายเป็นสายธารเหยียดยาวบนกาลเวลาเนิ่นนานถึง 25 ปี นับตั้งแต่ปี 2516 “เพลงเพื่อชีวิต” ได้สะท้อนปัญหาทางสังคม ความรู้สึกของผู้คน แต่ละสถานการณ์อย่างใกล้ชิด นอกจากนั้นการแพร่กระจายของบทเพลงสร้างผลกระทบต่อความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติของผู้คนอย่างกว้างขวาง รวมทั้งต่อวงการดนตรีไทยโดยส่วนรวม ในระยะเวลาเกือบ 3 ปี หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ตั้งแต่ปี 2525 เป็นต้นมา “เพลงเพื่อชีวิต” ได้กลายเป็นแนวเพลงเฉพาะ มีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจเทปและแผ่นเสียงในประเทศไทย กระแสแห่งสายธารนี้หากย้อนมองจากหลักฐานบันทึก สามารถเห็นช่วงขาดหาย อันเนื่องมาจากภัยทางการเมือง เหตุการณ์นองเลือดในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ผลักดันให้นักเพลงเพื่อชีวิตหลบหนีปลีกตัวไปสู่ชนบท ปักหลักสู้บนภูเขา ระหว่างปี 2520-2524
บทเพลงเพื่อชีวิต สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของผู้เจ็บแค้นจากทารุณกรรมกลางเมือง ประกาศกล้าเข้าต่อสู้ด้วยสงคราม สดุดีการต่อสู้และผู้นำวิถีทางการปลดแอก บอกเล่าถึงจิตใจเหิมหาญท่ามกลางชีวิตความเป็นอยู่ยากแค้นกันดาร ความมุ่งหวังและความใฝ่ฝัน แม้จะอยู่กับความอึดอัดขัดข้องของกรอบทำงาน จากสิ่งที่เรียกว่า “เพลงปฏิวัติ”
นับจากสถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย (สปท.) เริ่มออกอากาศเมื่อเดือนมีนาคมปี 2505 เป็นต้นมา ตลอดเวลาสิบกว่าปีที่ดำเนินการอยู่นั้นเพลงปฏิวัติเป็นส่วนหนึ่งของรายการกระจายเสียงที่คงคู่ตลอดจนกระทั่งปิดไปในที่สุด บทเพลงปฏิวัติ ของ สปท. เปรียบเสมือนคำแถลงและท่าทีของ พคท. ต่อเหตุการณ์ทางการเมืองต่างๆ ตลอดยุคสมัยที่ว่านั้น บทเพลงเหล่านี้ยังคงเป็นเครื่องมือและสื่อกลางที่สำคัญในการสร้างขวัญและกำลังใจให้ขบวนการปฏิวัติทั้งหมด นอกจากนั้นในเสียงเพลงที่รับฟังได้จากสถานีวิทยุ สปท. ยังเจือปนไว้ด้วยความรู้สึกนึกคิด ทฤษฎี ความเชื่อ ตลอดจนภาพสะท้อนบางด้านของการปฏิวัติภายใต้การนำของ พคท. ไว้ให้ศึกษาอย่างมากมาย

และนี่คืออาวุธที่ทรงอานุภาพยิ่งของ พคท. ในแนวรบด้านวัฒนธรรม ในขณะที่สงครามจิตวิทยากำลังต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง ดุเดือด แหลมคมอยู่นั้น เพลงปฏิวัติ ก็เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูง และได้ผลมากโดยเฉพาะกับเยาวชนที่เป็นกำลังสำคัญของ พคท. จนกล่าวได้ว่าในบางช่วงเวลา เพลงปฏิวัติ อยู่ในฐานะรุก เนื่องจากนำเสนอรูปแบบและเนื้อหาที่สอดคล้องเข้าถึงอารมณ์ของผู้ฟังได้ดีกว่า จนฝ่ายตรงข้ามต้องหันมาใช้เสียงเพลงแก้เกมในแนวรบด้านปฏิบัติการสงครามจิตวิทยา
ภายหลังเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาคม 2519 ศิลปินเพลงเพื่อชีวิตที่เข้าร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรมในสังคมร่วมกับ นักเรียน นักศึกษา ประชาชน ตั้งแต่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่เมื่อ 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมา แตกกระจัดกระจาย ลี้ภัยคณะปฏิรูปปกครองแผ่นดิน เข้าสู่เขตป่าเขาพื้นที่การต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แปรสภาพไปเป็นศิลปินปฏิวัติ ดังนั้นเพลงเพื่อชีวิตที่สร้างสรรค์ในสภาวะนี้ จึงต้องเปลี่ยนไปเป็นเพลงปฏิวัติอาจมีเพลงส่วนหนึ่งของคาราวาน ซึ่งถูกตระเตรียมตั้งแต่อยู่ในเมือง เพื่อบันทึกเสียงอัลบั้มชุดที่ 3 “มารครองเมือง” แต่เมื่อสภาพพลิกผันจึงต้องใช้สตูดิโอ “ป่าไผ่” กลางทิวเทือกเขาภูซาง ระหว่างรอยต่อ เลย-อุดร-หนองคาย บันทึกเสียงราวกลางปี 2520 ประกอบด้วยบทเพลง มารครองเมือง มรดกจีไอ ลุงโง่ย้ายภูเขา สามล้อ ฝนใหม่ โคราชขับไล่อเมริกา อีสานคืนถิ่น ฯลฯ ส่วนนี้อาจจัดเป็นเพลงเพื่อชีวิตในที่นี้ไม่รวมถึงบทเพลงเพื่อชีวิตที่สร้างสวรรค์โดยวงดนตรีที่มีบทบาทเคลื่อนไหวในเขตเมือง

และนี่เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางเพลงเพื่อชีวิตที่เกิดบนความขัดแย้งทางการเมือง ทุกบทเพลงเล่าจากความรู้สึกของผู้ประสบเหตุการณ์จริง มันคือเสียงกรีดร้องของประชาชน ที่สะท้อนมุมมองต่างๆ และเป็นการจุดกำเนิดแนวดนตรีที่มีอิทธิพลกับชีวิตคนไทยตลอดมาจนถึงปัจจุบัน