top of page

"ดวงดาว เดียวดาย" กับดวงดาวที่ไม่ได้คว้ามาง่ายๆ

บางทีการที่เอาแต่มองความสำเร็จของคนอื่น แล้วคิดไปว่ามันช่างง่ายดายเหลือเกิน เหมือนเป็นผู้ชมที่ดี มีวิสัยทัศน์ แต่กลับไม่เคยรู้หรือสัมผัสในฐานะคนที่ลงไปเล่นในสนามจริงๆเลย ว่าเวลาที่วิ่งต้องใช้แรงเท่าไหร่ เวลาที่ล้มมันเจ็บยังไง ไม่มีความสำเร็จไหนหรอกที่จะได้มาง่ายๆ หากแต่มันเกิดจากความอดทน เพียรพยายาม และทำมันอย่างตั้งใจ จึงเกิดเป็นสำนวนติดหูติดปากที่ว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น"


และนี่คือตัวอย่างของความเพียรพยายามนั้น จากครั้งที่ไม่มีแม้แต่คนจะมองเห็น กับความสำเร็จที่ไม่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ แค่ปากพูด กอล์ฟ ดวงดาว เดียวดาย





ความสำเร็จของ ดวงดาวเดียวดาย ไม่ใช่จะได้มาง่ายๆ

ดวงดาว เดียวดาย : ก็คือต้องบอกว่าตอนที่ทำมา เราไม่รู้ว่าความสำเร็จจริงๆมันอยู่ที่ไหน ที่เรียกว่าความสำเร็จ เราไม่คิดว่าเพลงที่เป็นเพลง Stock ที่เราทำแบบเล่นๆเหมือนแบบ Sketch ไรงี้อะครับ มันจะกลายเป็นเพลงที่จะพาเราออกมาเดินทางครับ อย่างเพลง จะใด ไรงี้ครับ คือเขียนมา 4 ปีแล้วครับ เขียนบนเครื่องบินอะครับ เขียนระหว่างทางที่กลับจากเชียงใหม่มากรุงเทพ ก็ทำเพลงบน ipad ครับ เป็นโปรแกรมบน Ipad เมื่อ 4 ปีที่แล้ว แล้วก็อัพเพลงไปเป็นเพลง จะใด ไม่คิดว่าเวลา 4 ปีหลังจากนั้นมา มันจะทำงานโดยการที่แบบมีรุ่นน้องเอาไป Cover อะครับ ก็คือ โจ้ เขียนไขและวานิช เอาเพลงจะใดไป Cover มันก็เลยทำให้เราได้เดินทางส่วนหนึ่ง คนก็เหมือนกับหันมาอย่างที่ผมบอกอะครับ เหมือนคลองที่มันแห้งขอด คือมันไม่เคยมีน้ำไหลเข้ามาเลยครับ เหมือนกับเราทำเพลงมาก็ไม่มีคนฟัง เราไม่รู้ว่าคนฟังอยู่ที่ไหนด้วย ไม่รู้ว่าทำยังไงให้คนมาฟังเรา จนวันนึงก็แบบ เหมือนพอน้องเอาไป Cover เสร็จ ก็คล้ายๆว่า แบบมีคนแบบมาเปิดเขื่อนออก น้ำมันก็ทะลักเข้ามาจนเรารู้สึกว่าเออน้ำเริ่มเข้าคลองละ เราก็รู้สึกว่าปูปลาก็เริ่มเข้ามา เราเริ่มมีวัตถุดิบหากินได้และก็งานเก่าๆก็ถูกกลับมาฟังอีกครั้งนึง มันก็เหมือนกับพอน้ำมันเข้าคลองแล้วพวกต้นไม้ที่มันพร้อมเติบโตมันก็โต ไอสิ่งที่มันอยู่ในคลองพวกหอยมันก็ทะลักเข้ามา คนที่อยู่ในบ้านระเบียงดาวก็ได้รับผลดีนั้นไปด้วย ทำให้อุดมสมบูรณ์กัน


เรียกว่าคนที่ไขประตูให้ ดวงดาวเดียวดาย ก็คือ โจ้ เขียนไขและวานิช

ดวงดาว เดียวดาย : คือเขียนไขและวาณิช จริงๆเราเจอกันที่เชียงใหม่ตั้งแต่ 3-4 ปีที่แล้ว เป็นน้องที่อยู่ร้านแจ่มเจริญ เพื่อนผมก็เป็นนักดนตรีที่มีเพลง แล้วก็เอาไปเล่นที่เชียงใหม่ แล้วโจ้ก็เล่นเปิดให้ ก็มีกินเหล้ากันสนิทกัน จนวันนึงโจ้ก็จับพลัดจับผลูมากรุงเทพ ก็ค่อนข้างสนิทกันในระดับนึงแล้ววันนั้นเผอิญโจ้มาดื่มกินกันที่บ้าน ผมก็บอกว่า "เออ โจ้เนี่ย ไอหวินเนี่ยเค้า Cover เพลง จะใด นะ อยากเปิดให้ฟังวะ เขียนไว้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว" ก็เลยเปิด พอเปิดเพลง จะใด โจ้ก็เหมือนประมาณแบบ ตาแดงๆ แล้วเรา 2 คน ก็แบบทำงานเพื่อเลี้ยงแม่เหมือนกัน โจ้มันก็เราเรื่องแบบพลั่งพลูความรู้สึกจนดึกดื่น แล้วก็เปิดฟังหลายรอบมาก จนตื่นเช้ามาก็ไม่คิดว่าโจ้จะส่งข้อความมาหา บอกว่า "ช่วยส่งคอร์ดเพลงกับเนื้อเพลงให้หน่อย ผมอยาก Cover" นั่นแหละครับ ผมก็ไม่ทันได้ส่งให้มัน อยู่ดีๆมันก็อัพแล้วก็ส่งลิ้งค์มาให้ผม ปรากฎว่า คนดูแบบหลายหมื่นแล้ว นั้นแหละที่ผมบอกว่า มันเหมือนแบบเป็นการไปจุดไฟ หรือไปเปิดเขื่อนอะไรอย่างงี้ครับ ให้น้ำมันเข้ามา ก็ต้องขอบคุณที่โจ้ ไปเปิดไฟให้น้องๆที่กำลังหันหลังให้ หันกลับมา ช่วงนั้นผมทำเพลง ฉันชอบดวงตาคู่นั้นเหลือเกิน มันก็จังหวะพอดี ก็ต้องขอบคุณหลายๆอย่างด้วยครับ ขอบคุณจังหวะ ขอบคุณโอกาส ขอบคุณตัวเองที่รอคอยได้ คือต้องบอกว่าจริงๆก็คิดว่าจะกลับไปเล่นดนตรีกลางคืนอย่างเดียวแล้วครับในตอนแรก และก็จะพักเรื่องที่ทำเพลง แล้วเผอิญโจ้มากระทุ้ง บวกกับว่าผมก็เริ่มทำ บ้านระเบียงดาว พอดีเลยครับ พอน้ำเข้าคลองเข้าเขื่อนเสร็จ ทุกอย่างมันก็พอดีเลยครับ ทุกอย่างก็ลงตัวพอดี


อย่างการที่เป็นนักเขียนมาก่อน มันเลยทำให้ภาษาเพลงมีอัตลักษณ์อีกแบบด้วยไหม ?

ดวงดาว เดียวดาย : คือต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ ผมพยายามจะทำเพลงให้มันเป็นเพลงมากเกินกว่าที่มันจะเป็นอย่างอื่น คือพยายามมากไปใส่ภาษา ที่หลายคนแบบกระเดียดๆว่า มันเป็นเพลงกวีๆ ไรงี้ครับ คือผมพยายามทำแบบนั้นมากไป เหมือนแบบผมพยายามคิดว่าการที่ทำอะไรที่ให้คนอื่นเข้าใจยาก มันคือความเท่ มันคือเก๋า แต่ผมลืมไปว่า ความง่ายคือถอยกลับมาทำอะไรที่มันง่ายๆ แล้วก็เข้าใจได้ด้วยที่เป็นประโยคของมนุษย์พูดไรแบบนี้ครับ แบบพูดกันโดยตรงเป็นภาษาที่สื่อสาร ตอนนั้นผมไม่ได้คิดในช่วงที่เริ่มทำตอนแรก คือผมได้มีโอกาสเรียนเขียนเพลงกับ พี่เป๋า กมลศักดิ์ สุนทานนท์ เหมือนว่าทุกอย่างที่พี่เป๋าเคยสอนทั้งหมด ตอนนั้นผมไม่เชื่อครับ ผมไม่เชื่อพี่เป๋าเลย ผมคิดว่าการเขียนเพลง เขาเขียนเพลงขาย เค้าทำเพลงแมส เราเข้าใจแบบนั้น เข้าใจไปเองนะครับ จนมาตอนนี้ผมก็เอาทฤษฎี ที่พี่เป๋าสอนทั้งหมด วิชาการที่พี่เป๋าสอน มีกระบวนการความคิดไรต่างๆเนี่ย เอากลับมาประยุกต์กับเพลงของดวงดาวเดียวดาย แล้วก็เชื่อมโยงกับภาษาเพลงที่ผมชอบคิดภาษาแปลกๆ ขึ้นมาใช้ ก็ทำให้มันเป็น Marketing แบบดวงดาวเดียวดาย





บ้านระเบียงดาวไม่ใช่ค่ายเพลง?


ดวงดาว เดียวดาย : บ้านระเบียงดาวไม่ใช่ค่ายเพลง บ้านระเบียงดาวเป็น Family ครับ เป็นครอบครัว เราอยู่กันแบบครอบครัว เราอยู่กันแบบเป็นพี่เป็นน้องกันมากกว่า เราไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็นค่ายเพลง เราไม่ได้มีความพร้อม ด้วยสถานะที่ไม่มีความพร้อมที่จะให้เป็นค่ายด้วย และก็ด้วยอะไรหลายๆอย่าง หลายๆคนที่อยู่ในบ้านก็คงไม่พร้อมที่จะให้เราไปเป็นค่ายจริงๆอะครับ เราอยากให้เราเป็นสหกรณ์ไรแบบเนี่ย อยู่กันแล้วก็ Sharing กัน ประมาณนี้มากกว่า พี่อัดเพลงให้น้อง น้องอัดเพลง ประมาณอย่างงั้นมากกว่าครับ และจะทำให้เราก้าวไปได้โดยที่ไม่ต้องมีกรอบ มีอะไรที่มันจำกัดการที่เราจะมีความคิดไปข้างหน้า หรือจะถอยหลัง คือถ้าเป็นค่ายเรา เราอาจจะเดินไปข้างหน้าได้ไม่กี่ก้าว หรือถอยหลังไม่ได้ ถ้าเป็นสหกรณ์เราก็จะเดินไปได้แบบอิสระเสรีมากกว่าครับ


สมาชิกของ บ้านระเบียงดาว ตอนนี้....


ดวงดาว เดียวดาย : มี 14 วง 20 กว่าชีวิต ที่อยู่ด้วยกัน มีขายโชว์ของที่บ้านระเบียงดาวด้วยครับ Main หลักก็จะมี ดวงดาวเดียวดาย , มนัสวีร์ ไรพวกเนี่ยครับ ที่เป็น Main หลักๆ นอกนั้นก็จะเป็นน้องที่ทำงานกันมานานแล้ว ช่วงนี้เราก็จะเป็นประมาณว่า ถ้าดวงดาวเดียวดาย มนัสวีร์ ไป เราก็จะแปะบ้านระเบียงดาวไปด้วย เราจะไปกันทั้งกรุ๊ปครับ ถ้าจ้าง 2 วงนี้ไป เราก็จะพยายามที่จะ connect กับผู้จัดว่า "เห้ยเราขอเวทีพิเศษให้กับน้องเราหน่อย" เราก็จะ sharing กันทั้งบ้าน การทำงานของบ้านระเบียงดาว เราครบทุกวงจร คือที่บ้านนี้จบโดยการแบบ เรามีห้องบันทึกเสียงเอง มีทีมตัดต่อวีดีโอเอง มีทำ Mastering เองครับ แล้วก็มีโรงพิมพ์ปก CD เอง เครื่อง CD เท่านั้นที่เราไม่มี นอกนั้นเราทำเองได้หมดครับ รองรับพี่น้องได้ครับ


จากวันที่เคยคิดน้อยใจวงการดนตรี จนถึงตอนที่มีบ้านระเบียงดาว


ดวงดาว เดียวดาย : คือต้องท้าวความก่อนว่า บ้านระเบียงดาว ผมไม่ได้ทำคนเดียวนะครับ แต่ภาพมันออกไปเป็นคนเดียวนะครับ จริงๆผมทำกับบังมนัสวีร์ 2 คน เพราะเราเริ่มต้นกัน ว่าเราจะทำบ้านระเบียงดาว คือเวลาที่ผมจะเล่าช่วงเวลานี้ผมจะรู้สึกตื้นตัน คือผมกับน้องผมสองคน วันนั้นเราไปเล่นดนตรีแถวเกษตร แล้วก็ฝนตกขับรถซ้อนมอเตอร์ไซต์กัน เราก็พูดถึงเรื่องน้อยใจนะครับว่า "ทำเพลงไม่มีคนฟังเลยวะ ไม่รู้ว่ากูอัพผิดป่าว? หรือกูไปปิด public อะไร ไปตั้งค่าอะไรที่ให้คนอื่นมันไม่เห็นกูวะ" อะไรแบบนี้ แล้วก็ซ้อนมอเตอร์ไซต์กันมา แล้วเราก็เหมือนร้องไห้กันมาตลอดทาง แบบ "เห้ย ถ้าวันนึงประสบความสำเร็จนะ กูจะช่วยเหลือคนอื่น กูต้องทำบ้านให้คนอื่นเข้ามาอัดเพลงฟรี" ให้ความฝันของคนที่มีความฝันได้ถ่ายเทความฝันของคุณ แล้วเรากรองความฝันคุณให้ไรงี้ครับ ก็จนเป็นบ้านระเบียงดาว ตอนที่เรารับใครเข้ามาเราไม่ทันได้คิดว่าเรารับเข้ามากี่วงนะครับ พอมารู้สึกตัวอีกทีก็ 14 วงไปแล้ว ตอนนี้เราก็เลยพยายามที่จะหยุดไว้ก่อน เรารู้สึกว่ามันเยอะเกินไปแล้ว ฉะนั้นเราก็เลยว่าเราไม่ใช่ค่ายเพลงที่จะส่ง Demo ซึ่งบอกเลยว่าการส่ง Demo มาที่เพจบ้านระเบียงดาว เราไม่ได้พิจารณาเพลง ว่าจะรับคนนี้เข้ามาในบ้านระเบียงดาวโดยการส่งเพลงมา เราพิจารณาด้วยการที่แบบ บางทีกินเหล้าแล้วรู้สึก กินกับมึงแล้วมันดีวะ ก็คุยกับมึงแล้วสนุกดีไรแบบนี้ หรือว่ามึงนิสัยดี กูคิดว่ามึงแม่งน่าจะได้ อะไรแบบนั้นครับ ก็เลยกลายเป็นพี่เป็นน้องมากกว่าที่จะเป็นคนที่มีฝีมือมากๆประมาณนี้ครับ





เนื้อเพลงหลักๆมาจาก แรงจูงใจอะไร ?

ดวงดาว เดียวดาย : ถ้าผมมองว่าคนที่อยู่หลังกล้อง อาจจะเป็นเพลงผมพรุ่งนี้ก็ได้ คือพัดลมก็อาจจะเป็นเพลงผมในวันพรุ่งนี้ก็ได้ คือเพลงของผม ใครฟังจริงๆจะเห็นว่ามันเกิดขึ้นกับสิ่งที่มันเป็นวัตถุที่มันอยู่ข้างหน้าผมอะครับ ผมมองแล้วผมก็ เออต้นไม้ต้นนี้มันน่าเขียนเพลงวะ ที่มันเป็นสิ่งของเป็นไรงี้ครับ คือผมอะเลิกเชื่อว่าต้นไม้มันใบสีเขียวมานานละ เมื่อก่อนผมอะเวลาครูถาม "ประพันธ์ใบไม้สีอะไร?" ผมก็จะตอบ "สีเขียวครับ" พอวันนึงผมโตขึ้นผมไปเรียนหนังสือ เรียนศิลปะ พอบอกว่าใบไม้สีอะไร บอกสีเขียว ครูบอกไม่ใช่ ครูจะบอกว่ามึงไปดูใบไม้จริงๆ มึงจะไม่ได้เห็นสีเขียวเลย ฉะนั้นถ้ามึงหยิบพู่กันมาแล้วทาสีเขียวลงไปบนใบไม้เนี่ย แล้วแม่งเขียวไปหมดทั้งต้น มึงไปมองดีๆมันไม่ใช่สีเขียว ก็เหมือนกันเวลาผมมอง มองแก้วน้ำเวลาที่มันละลายแล้วมีขอบไอน้ำ เวลาผมยกขึ้นมา ผมก็นั่งมองเงานั้นผมก็สร้างมันเป็นเพลงขึ้นมา มันก็คือเป็นเพลงได้ ถุงน้ำอัดลมที่ใส่น้ำอัดลมจนเต็มถุงเลย แล้วก็เอามาแล้วไม่ได้ดูด พอมันละลายหายไปแก๊สก็หายไป น้ำก็ละลาย ผมก็จะมีความรู้สึกแบบ "เออเนี่ยเราก็มองมันเป็นภาพศิลปะ" ผมก็เลยเอาวิธีการมองการเขียนภาพแบบนั้น มาทำเป็นเพลง เป็นเพลงแบบ ดวงดาวเดียวดาย


มีหลายคนบอกว่า การตั้งชื่อเพลงยาวๆ ของ ดวงดาวเดียวดาย คือการตลาด....


ดวงดาว เดียวดาย : ต้องบอกว่าชื่อเพลงยาวนี้ มันไม่ได้ทำมาเพื่อสร้างจุดเด่นหรือทำให้มันเกิดความแตกต่างหรืออะไรนะครับ เพราะว่าจริงๆ ถ้าพูดถึงรูปแบบของทฤษฎีการเขียนเพลงจริงๆ หรือการสร้าง Branding ให้เกิดความน่าจดจำ มันต้องเป็นชื่อสั้นๆ แบบที่มันรู้สึกกระชับฟังแล้วเข้าใจ ผมคิดครับ ใช้กระบวนการความคิดว่า "เห้ย เราจะทำยังไงดีวะ ให้ตัว Product ของเราไปในทิศทางที่เราอยากให้มันเป็นจริงๆหรือว่าเป็นคาแรคเตอร์" ซึ่งเป็นนักเขียนแล้วแบบสะสมคำเอาไว้ เราต้องอ่านหนังสือนะครับเราต้องสะสมคำเอาไว้ในตัวเอง จนเรามาค้นพบว่า เราจะลองยาวๆดูสิว่ามันจะเป็นยังไง? มันก็เกิดเป็นชื่อยาวขึ้นมา เกิดเป็นชื่อที่อ่านไม่รู้เรื่องขึ้นมาไรงี้ครับ แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นมาจากที่เราทำมั่วๆ แบบสุ่มๆนะ เหมือนเราวางแผนเอาไว้แต่แรกแล้วว่า เราจะทำยังไงหรือว่าจะรับผิดชอบกับ เวลาที่มีคนพูดถึงชื่อยาวหรือมีคนพูดถึงว่า ทำไมเราเอาภาษาไทยมาเรียงแบบอ่านไม่รู้เรื่องไรแบบนี้ ซึ่งเราก็มีคำตอบของเราอยู่แล้ว ที่จะตอบทุกๆคำตอบ ที่ถามเราเข้ามาว่า ทำไมถึงทำกับภาษาไทยแบบนั้น? เพราะว่าถ้าใครเปิดเพลงฟังก็จะเข้าใจว่า "อ่อ เพราะแบบนี้เอง" ถึงเอาภาษามาเรียงเหมือนงานศิลปะ คือเอาตัวหนังสือแบบมาเรียงๆๆ ประมาณนั้น


อัลบั้มเพลงของ ดวงดาวเดียวดาย


ดวงดาว เดียวดาย : มีอัลบั้มเต็มน่าจะ 4 อัลบั้มครับ แล้วก็เป็น Live in studio ที่เป็นบันทึกเสียง ประมาณ 2 อัลบั้ม มีที่เขียนเอาไว้แล้วลงใน Chanel น่าจะประมาณ 400 กว่าเพลง แล้วก็มีที่นั่งเมาๆน้อยใจลบไปอีก คือผมอยากจะบอกคนที่กำลังเริ่มต้นทำเพลงแล้วรู้สึกน้อยใจ ถ้าคุณน้อยใจ แล้วคุณเป็นผม ที่เขียนเพลงกว่า 400 เพลง เพื่อให้มีคนฟังแบบแค่ 10 เพลงไรงี้ ผมต้องแบบสู้มากๆ เอาแค่ 10 เพลงก็เหนื่อยแล้ว 420 เพลงเนี่ย แม่งโครตเหนื่อยเลย เหมือนคนเขียนหนังสือทุกวัน คือผมเขียนเพลงวันละหน้า เขียนหนังสือวันละหน้า ตอนที่เขียนหนังสือไม่ได้เขียนวันละหน้า เขียนหนังสือวันละหลายๆหน้า ซึ่งอันนั้นยากกว่าเขียนเพลง ฉะนั้นเขียนเพลงแค่ 420 เพลงเนี่ย กระจอกมากสำหรับคนที่เขียนหนังสือเป็นปึกๆ เมโลดี้อาจจะเหมือนๆกัน ซ้ำๆกัน แต่ว่ามันเป็นแบบทดลองวิทยาศาสตร์ เอาอันนั้นมานี่ เอาอันนี้ไม่ดี อันนั้นก็ไม่ดี กว่าจะคิดได้ว่า เราต้องทำแบบนี้ เราต้องเล่าแบบนี้ วิธีการเล่าของเรามันเป็นแบบนี้ แต่ว่าคนฟังยอมเราให้เสียงเราเป็นแบบเพื่อชีวิต บางเพลงฟังแล้วแบบไม่เหมือนเพื่อชีวิตเลยวะ คือเคยโดนมองว่าร้องเหมือนเพื่อชีวิต คุณไม่เห็นเป็นอินดี้เลย ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าอินดี้มันต้องทำเสียงแบบไหน? หรืออินดี้มันเป็นเพื่อชีวิตไม่ได้หรือยังไง? หรือเขาเข้าใจว่าอินเดียคืออินดี้ ผมมีความรู้สึกอย่างงั้น คือผมเข้าใจแล้วว่า มันไม่เกี่ยวเลย เพลงก็คือเพลง คือผมก็เป็นแนว Asouctic Folk ไรงี้หรือว่าเป็น Modern Folk เหมือนที่ทุกวันนี้เขาพยายามหาทางไปกัน ผมก็พยายามที่จะทำงานแต่ผมจะกระเดียดไปทางเพลงรัก ปรัชญาแบบความรัก หรือ ปรัชญาแบบสิ่งของ คือผมจะเอาพวกนี้มาเขียนไม่ใช่แบบเป็นแนวพูดถึงธรรมชาติ ดวงดาว เดียวดาย เป็นเพลงโลกๆ พูดถึงสภาวะรอบๆตัว อาจจะไม่ได้มุ่งเข้าไปที่สีเขียวเลยงี้อะครับ


เคยเข้าชิง คมชัดลึก Award ด้วย


ดวงดาว เดียวดาย : เคยเข้าชิง ศิลปินชายยอดเยี่ยมครับ คือผมน้อยใจครับตอนนั้น ผมไม่อยากพูดถึงประเด็นความน้อยใจ พูดแบบนี้ดีกว่า ผมปิดตัวเองมา 1 ปี แล้วก็ไม่ค่อยสื่อสารกับคนครับ คุยธรรมดาคุยแชทปกติแล้วผมก็ทำโปรเจค โปรเจคนึงคือไปที่ไหนก็เอาเครื่องอัดไปด้วย ก็เอาที่บันทึกเสียงไป ไปเชียงใหม่ก็เอาไปอัด ไปลำปางก็ไปอัด ไปต่างจังหวัดก็เอาไปอัดทุกที่ อัดเสร็จก็จะส่งไฟล์ไปให้รุ่นพี่ รุ่นพี่ก็ทำ Mastering จนประกอบร่างกันเป็นเพลง อัลบั้มนี้ทั้งอัลบั้มเนี่ย ตั้งแต่เริ่มต้นมาจะมีเสียงนก เสียงรถ เสียงคน เสียงสตาร์ทรถ จนเป็นสตอรี่ตั้งแต่เกิดมาเลยจนตาย จนเพลงตายแล้วก็กลับมาฟังอีกทีเหมือนเกิดใหม่ มันเป็นเพลงแบบวนเลยครับ เป็นสตอรี่มาถึงชื่ออัลบั้ม The Story ตอนนั้นก็ไม่ได้คาดคิดอะไรครับ ว่าทำอัลบั้มไปขายที่ร้านน้องท่าพระจันทร์ อยู่ดีๆเพลงก็เข้าชิง ตอนที่เพลงเข้าชิงตัวเองยังไม่รู้เรื่องเลยครับ ผมนั่งรีดผ้าอยู่บนบ้าน แล้วก็มนัสวีร์นั่งอยู่คู่กัน กำลังจะไปทำงานคือมีรุ่นพี่ส่งข้อความมา ผมเลยกดเข้าไปดู ปรากฎว่ามีชื่อตัวเองเข้าชิงแล้วมนัสวีร์ก็บอกว่า "เอ้า พึ่งรู้หรอ เขารู้กันตั้งแต่เที่ยงละ" คือผมไม่ได้สนใจ Facebook เลยตอนนั้น "นี่กูเข้าชิงหรอวะเนี่ย" แต่ก็ได้เข้า แค่ได้เข้าชิง





เห็นว่าเรียนศิลปะมา Art work บนงานต่างๆ ลงมือทำเองไหม ?


ดวงดาว เดียวดาย : ผมเรียนจบคณะศิลปกรรม แต่ไม่เคยทำฝีมือตัวเองลงไปในปกเลยนะครับ ผมไปจ้าง ฉันใด ทำ ให้น้องเตนช่วยทำ ก็คือจ้างน้องๆทำ ตัวเองไม่เคยทำเพราะว่ามีความรู้สึกว่า งานพาณิชย์ศิลป์ผมไม่ถนัด Marketing พาณิชย์ศิลป์นะครับ จนตอนหลังก็มีความรู้สึกว่า "เอ้ย กอล์ฟเรียนจบมาทำไมกอล์ฟไม่ไม่ลองวาดดู" ผมเลยลองกลับมาวาดดู มานั่งวาดเสื้อตัวเองเล่นก่อนครับตอนแรก วาดเสื้อแล้วก็ประมูล จนตอนหลังก็เออ เราก็วาดแผ่นปกเสียงเองดีกว่า เพราะเราจะมีแผ่นเสียง ก็เลยวาดแผ่นเสียงเองดีกว่า แล้วก็ลองทำโปสเตอร์ดูไรงี้ครับ เป็นรายได้เข้ามาช่วงโควิด ก็ปรากฎว่าเราก็ทำได้นี่หว่า คิดว่าปกแผ่นเสียงน่าจะเป็นฝีมือตัวเองทำ ผมคิดว่าผมโอเคมากช่วงโควิด ผมไม่ลำบากเลยครับ น้องๆในบ้านทุกคนก็ไม่ลำบาก มันเป็นช่วงที่ตัวที่เป็น Main ของบ้านขายของได้หมดครับ ขายทั้งซีดีได้ ผมเองก็ขายเทปได้ ขายเสื้อได้น้องก็ขายเสื้อได้ แล้วก็มีโปรเจคผุดออกมาหมดเพราะบ้านระเบียงดาวนี่คือ ถ้าอยู่ในช่วงโลกระบาดแล้ว แล้วถูกโรคระบาดครอบงำเนี่ย จนทำงานไม่ได้นี่ก็มีทางเดียว นิมนต์ออก ที่บ้านต้องขยัน ฉะนั้นถ้าผมไม่คิดที่จะทำไรเลย แล้วเป็นผู้นำไม่คิดจะทำไรแล้วแบบตายไปโควิด ผมและน้องๆทุกคนตายหมดแน่นอนครับ พอทุกคนเห็นผมทำเสื้อ ก็มีไฟที่จะลุกขึ้นมาทำกันหมด ผมก็มีซีดีที่ผลิตขึ้นมาก่อนโควิดก็ขายได้หมดครับ


อนาคตของบ้านระเบียงดาว....


ดวงดาว เดียวดาย : อนาคตไม่มีหรอกครับบ้านระเบียงดาว บ้านระเบียงดาวไม่มีอนาคตครับ ถ้าบอกว่าบ้านระเบียงดาวมีอนาคต อีก 3 ปีข้างหน้า เราจะผลักดันไปถึงจุดไหน ผมว่าถ้าไม่ถึงเป็นทุกข์แน่นอนครับ ฉะนั้นผมว่า บ้านระเบียงดาว มีปัจจุบัน มีวันนี้ แล้วก็รู้ว่าวันนี้มีเหลืออยู่กี่คน ถ้าพรุ่งนี้เหลือน้อยกว่าก็จะได้รู้ว่าเหลือน้อยกว่า ฉะนั้นผมว่าบ้านระเบียงดาวไม่มีอนาคต มีแต่ปัจจุบัน ยังไงลำบากแค่ไหน ก็ถามไถ่กันอยู่ตลอด โปรเจคต่อไปจะทำไร ไม่เคยวางแพลนครับว่า เราจะต้องพาบ้านระเบียงดาวไปยังไง ต้องบอกก่อนว่าเราพึ่งวาง 1 - 2 - 3 เมื่อไม่นานมานี่ครับ ว่า "เห้ย 1 จะทำไร 2 จะทำไร 3 จะทำไร" แต่เราวางไว้คร่าวๆแต่ไม่ได้คิดว่ามันจะต้องเป็นค่าย หรือภายใน 3 ปี เราจะต้องได้อย่างงี้ ยอด Subscribe เราจะต้องมากขึ้นนะครับ ไม่ครับ ไม่ได้คิด มีหน้าที่อย่างเดียวคือ มึงแต่งเพลงหรือยัง? เมื่อไหร่เพลงใหม่มึงจะมา? มึงเขียนเพลงบ้างหรือยัง? คือจะมีอยู่แค่เนี่ยครับคำถาม แค่นี้แล้วก็มึงจะอัดเพลงเมื่อไหร่? จะพูดแค่นั้น ทางที่ดีที่สุดคือ มึงมาอัดเพลงเดี๋ยวกูปล่อยให้ แล้วมึงก็ไปทำงาน ก็มีแค่เนี่ยครับ ไม่มีอนาคตเลย แล้วทุกคนก็ไม่มีอนาคตนะ ก็บอกแล้วอยู่บ้านระเบียงดาวไม่มีอนาคต แต่ที่มีก็คืองานเพราะผมไม่ได้เชื่อเรื่องอนาคต ผมเชื่อว่าถ้าปัจจุบันมึงยังทำอยู่เดี๋ยวอนาคตมึงก็มีเอง


แนะนำน้องๆที่พึ่งเริ่มต้นการทำเพลงหน่อย


ดวงดาว เดียวดาย : เคยได้ยินคำถามนี้ บังเคยพูดขึ้นมาว่า บังเคยไปถามศิลปินท่านหนึ่งว่า ทำยังไงมันถึงจะมีคนฟังเพลง ศิลปินท่านนั้นก็บอกว่าเค้าไม่ได้ทำไรเลย เค้าก็ทำเพลงแล้วก็อัพลงไปใน Youtube แล้วก็มีคนฟังเพลง ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ต้องถามว่า ไอคนที่ว่าจะทำเพลง แล้วตอนนี้มันทำอะไรอยู่ เพราะการทำเพลงมันไม่ได้หมายถึงว่าทำเพลง กีตงกีต้าร์แล้วมีกระดาน หรือมีกระดาษเขียน คือการทำเพลงของผมมันคือการทำทั้งวัน คือการขับรถมอเตอร์ไซต์ คิดเนื้อเพลง คิดได้ก็จอด หรือว่าพาแม่ไปฟอกไต เห็นฉากไหนแล้วดูแบบน่าเอามาเขียนในเพลง ก็รีบจดเอาไว้ การทำเพลงคือการทำทุกวัน ผมไม่รู้นะผมอาจจะกระเดียดไปทางพุทธศาสนา ผมว่าการทำเพลงเหมือนการภาวนา การภาวนาก็คือการหายใจ คือการทำทุกวัน แล้วก็ทุ่มเทกับมัน แล้วก็ถ้าทำเล่นได้เล่นเลย แต่ถ้าทำจริงก็จะได้จริง ได้เห็นมันผมว่า เริ่มต้นทำเพลงแบบคิดทุกวัน เขียนภาพก็นึกถึงเนื้อเพลง นึกถึงว่าเราจะไปยังไง เพื่อให้มันไกล กว่าเพลงที่แล้ว เขียนเพลงนี้มาแล้วเป็นแบบนี้แล้วเพลงต่อไปมันจะไปได้ไกลกว่านี้ไหม หรือว่าความคิดของเราเองในมิติมันไกลลึกเข้าไปอีกไหม เพราะผมเชื่อว่ามันยังมีดวงดาวที่มันไกล นอกสุริยจักรวาล อีกเป็นแสนล้าน ที่ไม่โคจรเข้ามา ผมก็จะเป็นคนๆนั้น ที่คิดทุกวันที่จะทะลุทะลวงลงไปหาไอดาวดวงนั้น เพื่อให้มันเปล่งเป็นเพลงที่ผมได้มีโอกาสเอามาร้องอะครับ ก็ต้องรอ ผมก็ต้องค้นคว้าทุกวันอาจจะแบบหยิบก้อนดินมาเป็นพันก้อนก็ได้ ถ้าเราเจอเพชรอันนึงก็คุ้มแล้วครับ





Watch video :


bottom of page